คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

แทบไม่น่าเชื่อว่า “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” สามารถดึงเอาผู้ที่เคยประกาศตัวเป็นศัตรู ให้กลับมาเป็นมิตรได้แทบจะทุกสถานการณ์

จากผลการเลือกตั้งทำให้เห็นว่า ชาวอเมริกันมอบประชามติให้กับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อย่างเบ็ดเสร็จ ที่เขาสามารถจะเข้าไปควบคุมทั้งในฝ่ายบริหาร ในสภาคองเกรส ควบรวมไปถึงในศาลฎีกา อีกด้วย!!!

เท่ากับว่าต่อไปสหรัฐอเมริกาจะเดินเข้าสู่เส้นทางเผด็จการอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ทั้งด้านนโยบายภายในและด้านต่างประเทศ

เมื่อดูผังการเลือกตั้งกันแล้วจะเห็นได้ว่า ชัยชนะของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในแทบทุกรัฐทางแถบฝรั่งตะวันตกและแถมฝั่งตะวันออก ในอดีตที่ผ่านมาเคยเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต แต่กลับปรากฏว่าการแข่งขันเลือกตั้งปี2024นี้พรรครีพับลิกันกวาดคะแนนไปจนหมดสิ้น จากที่ในแผนผังของแผนที่เคยเป็นสีน้ำเงิน กลับกลายเป็นสีแดงเกือบทั่วทั้งประเทศ

สโลแกนหาเสียงของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่เขาชูธงอยู่ตลอดเวลานั้น เขาได้กล่าวเน้นย้ำในเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ เรื่องการเกลียดชังชาวต่างชาติ ที่เขาป่าวประกาศออกมาอย่างเปิดเผย!!!

ฉะนั้นการบริหารแนวใหม่ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ค่อนข้างจะเป็นที่แน่นอนว่า เขาคงจะบริหารประเทศแบบเผด็จการ นับตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าพิธีสาบานตัว

การที่ได้รับประชามติจากชาวอเมริกันให้ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับชัยชนะในสภาคองเกรส นับว่ามิใช่เรื่องธรรมดาๆ เนื่องจากหากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาบริหารสหรัฐฯเมื่อใดก็ตาม เขาสามารถจะเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปสหรัฐฯได้อย่างตามใจชอบ เพราะเขามีอิสระอย่างกว้างขวาง แถมยังมีเสียงข้างมากในทุกๆรูปแบบ

ในวันฉลองชัยชนะอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ข้าพเจ้าจะพลิกสถานการณ์ให้กลับมาอย่างรวดเร็วให้จงได้”

และที่ผ่านๆมาในขณะที่เขาออกหาเสียง อดีตประธานาธิบดีทรัมป์มักจะกล่าวย้ำๆว่า “จะคิดบัญชีต่อศัตรูทางการเมือง” โดยเขายังได้ระบุชื่อของนักการเมืองผู้ที่เป็นปรปักษ์ของเขาออกมาอย่างชัดเจน อาทิเช่น “อดีตประธานสภาฯ แนนซี เพโลซี” และ “อดัม ชิฟฟ์” ที่จะเพิ่งได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกคนใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย และจะให้อภัยโทษต่อผู้ที่สนับสนุนเขา ที่พวกเขาพากันบุกเข้าในอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 แถมเขาจะจัดการกับ “อัยการพิเศษ แจ๊ค สมิธ” ที่ฟ้องร้องเขาอีกด้วย

นอกจากนั้นแล้วยังดูเหมือนว่า นโยบายการเนรเทศชาวต่างชาติที่อยู่อย่างผิดกฎหมายในสหรัฐฯที่มีมากกว่า 11 ล้านคน ก็ได้การขานรับจากชาวอเมริกันอย่างท่วมท้นถึง 55% โดยอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะดำเนินนโยบายเนรเทศอย่างรวดเร็วเร่งด่วน โดยไม่ต้องผ่านกระบวนทางกฎหมาย

นอกจากนั้นแล้ว อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ให้สัญญาว่า จะปิดพรหมแดนของสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้คำมั่นสัญญาของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ฝ่ายสนับสนุนของเขาต่างตื่นเต้น

โดยเมื่อแปดปีก่อน “เจดี แวนส์” ว่าที่รองประธานาธิบดีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็เคยออกมากล่าวโจมตีตัวเขาในขณะที่กำลังลงแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีว่า “เป็นคนงี่เง่า และวางตนเป็นฮิตเลอร์” (ข้อมูลจากสำนักข่าวรอยเตอร์ส เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2024)

แต่เดี๋ยวนี้ เจดี แวนซ์ กลับหันมาซบอกปกป้องอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ในทุกๆสถานการณ์ ทำนองเดียวกันกับ “วุฒิสมาชิกมาโค รูบิโอ”จากรัฐฟลอริดาที่เคยเป็นศัตรูทางการเมืองของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มาก่อน ครั้งที่ทั้งสองคนเป็นคู่แข่งซึ่งกันและกัน  โดยครั้งนั้นโดนัลด์ ทรัมป์ มักจะกล่าวเหยียดหยามว่า วุฒิสมาชิก มาโค รูบิโอ เป็น “อ้ายเตี้ย”

แต่เดี๋ยวนี้กลับปรากฏว่า วุฒิสมาชิกมาโค รูบิโอ กำลังจะกลายเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ในรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์!!! และหากว่า วุฒิสมาชิกมาโค รูบิโอ ได้รับการรับรองให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีต่างประเทศคนต่อไปของสหรัฐฯ ก็อาจจะเป็นฝันร้ายของคิวบา

เนื่องมาจากเมื่อครั้งที่ “อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา” ออกมากล่าวถ้อยแถลงเมื่อปี 2014 นี้ว่า “จะสร้างพันธไมตรีกับคิวบา” แต่ปรากฏว่า วุฒิสมาชิกมาโค รูบิโอ ได้ออกมาโต้ตอบว่า “ข้าพเจ้าจะดำเนินทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง เพื่อบล็อกนโยบายของประธานาธิบดีบารัก โอบามา”

ทั้งนี้วุฒิสมาชิกมาโค รูบิโอ ได้อธิบายว่า “หากสหรัฐอเมริกาปรับความสัมพันธ์ใหม่กับคิวบา สหรัฐอเมริกาก็จะอยู่ในฐานะที่อันตราย”แต่ก็เป็นที่น่าสนใจว่า วุฒิสมาชิกมาโค รูบิโอ มีเชื้อสายคิวบา โดยที่พ่อและแม่ของเขาต้องอพยพหลบหนีเข้าสู่สหรัฐฯ เนื่องมาจากพวกเขาต่อต้าน “ฟิเดล คาสโตร” อย่างสุดโด่ง

ในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเดือนมีนาคม ปีค.ศ. 2016 อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ถือเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนแรกที่เดินทางไปเยือนคิวบา มีผลทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับคิวบาเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆเท่านั้น แต่เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ เข้าสู่ทำเนียบขาวความสัมพันธ์ระหว่างคิวบากับสหรัฐฯกลับเลวร้ายมาโดยตลอด ทำนองเดียวกันกับในสมัยของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน

ในกรณีของ “อดีต ส.ส.แมตต์ เกตซ์” ที่เคยเป็นแกนนำของค่ายพรรครีพับลิกันขวาตกขอบ ที่เคยมีเรื่องอื้อฉาวในคดีชำเราเด็กอายุต่ำว่า 17 ปีและเคยถูกสอบสวนนานกว่าสองปีในเรื่องยาเสพติด กลับปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ วางตัวให้นักการเมืองผู้นี้อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม

ทั้งนี้ดูเหมือนว่าข้อมูลต่างๆที่คณะกรรมการด้านจริยธรรมของสภาผู้แทนฯมีอยู่ จะถูกเก็บไว้และจะไม่นำมาใช้ในการดำเนินการกลั่นกลองแต่งตั้ง อดีต ส.ส.แมตต์ เกตซ์  ระหว่างที่จะมีการพิจารณาให้เขาเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฯยุติธรรม อีกด้วย

กรณีของ “วุฒิสมาชิก มิชท์ แม็คคอนเนลล์”ผู้นำวุฒิสภา สังกัดพรรครีพับลิกัน ที่เคยออกมากล่าวโจมตีอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กรณีวันที่ 6 มกราคม ปี 2021 ว่า “อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นบุคคลที่เง่าเขลาและมีอารมณ์รุนแรง” โดยทั้งนักการเมืองที่สองมิได้มีการพูดคุยต่อกันมานานกว่าสามปี แต่เมื่อเร็วนี้ปรากฏว่า นักการเมืองทั้งสองได้มีการปรับใจเข้าหากันและต่างเห็นพ้องที่จะทำงานร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการก้าวขากลับคืนสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งหนึ่งของ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” พวกเราก็คงจะต้องเฝ้าลอยคอรอคอยกันต่อๆไปว่า เขาจะดำเนินการอย่างไร? ไม่ว่าจะในแง่ของสงครามยูเครน หรือสงครามในตะวันออกกลาง ที่ขณะนี้กำลังขยายไปในวงกว้างมากยิ่งๆขึ้น แต่เหนืออื่นใดการที่เขาออกมากล่าวชื่นชมต่อ “ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน” ว่า “เป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง ชาญฉลาด และรักประเทศชาติของตน” และยังได้กล่าวชื่นชมต่อ“ประธานาธิบดีสี  จิ้นผิง”ว่า “เป็นคนเก่งที่สามารถควบคุมประชากร 1.4 พันล้านคน ได้ด้วยกำปั้นเหล็ก” ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งสองเป็นผู้นำจอมเผด็จการ จากประเทศที่บริหารด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ก็ได้แต่หวังและภาวนาว่า เขาอย่าได้เอาแบบอย่างของผู้นำทั้งสองมาใช้บริหารสหรัฐฯเลยละครับ