"นายกฯอิ๊งค์" ประกาศลั่นรัฐบาลอยู่ครบเทอม ขอนักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่น พร้อมแถลงผลงานรัฐบาลช่วง 90 วันและมอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน 12 ธ.ค.นี้ ภท.ย้ำจุดยืน โหวตเสียงข้างมาก 2 ชั้นทำประชามติ ชี้เป็นการเปิดทางประชาชนตัดสินใจเรื่องสำคัญแท้จริง ไม่เกี่ยวขัดแย้ง ด้านปปช.เปิดบัญชีทรัพย์สิน สว.นันทนา รวย 345 ล้าน
ที่ห้อง Ballroom 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 21 พ.ย.67 เวลา 09.10 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานสัมมนา PRACHACHAT THAILAND 2025 หัวข้อ ประเทศไทย: โอกาส ความหวัง ความจริง จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ว่า ในช่วงปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกมากมาย และรัฐบาลก็กำลังพยายามสร้างโอกาสที่จับต้องได้ให้กับคนไทย เพื่อให้ประชาชนใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์ได้ เพราะรัฐบาลเห็นศักยภาพของคนไทย แต่โอกาสยังเข้าไม่ถึง หรืออาจจะมีการสนับสนุนไม่เพียงพอ รัฐบาลจึงพยายามกระจายโอกาส แต่หลายสิ่งก็มีปัญหาสะสมมานาน จึงต้องใช้หลายๆ วิธีแก้ปัญหา และผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ได้อย่างแข็งแรง พร้อมยังระบุว่า รัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ และพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ประชาชนกินได้ อยู่สบาย หากคนไทยปากท้องอิ่ม ศักยภาพที่ซ่อนในตัวก็จะสะท้อนออกมาได้ ฉะนั้น รัฐบาลจึงพยายามกระจายโอกาสให้มากที่สุด
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ซึ่งเห็นได้จากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ที่ได้ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทย 3 ไตรมาส หรือ 9 เดือน ซึ่งทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจไทย และการเติบโตส่วนใหญ่มาจากการลงทุนของรัฐบาล และการท่องเที่ยว ซึ่งก่อนช่วงโควิด-19 นั้น ประเทศไทย มีนักท่องเที่ยวราว 40 ล้านคน แต่เมื่อเกิดเหตุโควิด-19 แพร่ระบาด จำนวนนักท่องเที่ยวก็หายไปอย่างชัดเจน
ปีนี้เชื่อว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจะกลับมาที่ 36 ล้านคน ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 แพร่ระบาด จึงถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี พร้อมยังตั้งเป้าหมายทางเศรษฐกิจว่าจากการคาดการณ์ในปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าเศรษฐกิจจะโตขึ้น และน่าจะโตกว่าที่ตั้งเป้าไว้ เพราะจากการที่ตนไปร่วมประชุมต่างประเทศ ต่างชาติก็มีความมั่นใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งตนก็ได้ให้ความมั่นใจกับต่างชาติไปว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ครบเทอม จึงขอให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้ และตนก็พร้อมสานต่อนโยบายรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้ดำเนินการไว้แล้วด้วย
สำหรับในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วง 90 วันของรัฐบาล รัฐบาลจะจัดการแถลงผลงาน และเปิดเผยรายละเอียดนโยบายของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน รวมถึงนโยบายใหม่ ๆ ให้ประชาชนได้รับทราบด้วย ส่วนผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาที่จะมีการเปลี่ยนผู้นำใหม่เป็น นายโดนัล ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีนั้น รัฐบาลมีความพร้อมในการรับมือนโยบายใหม่ของสหรัฐฯ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียโอกาส โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลใหม่สหรัฐฯ มีแผนเตรียมเพิ่มกำแพงภาษีกับประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ
ส่วนโอกาสทางรอด 3 ทาง ที่จะช่วยประเทศ ได้แก่ โอกาสเรื่องอาหาร, โอกาสเรื่องสุขภาพ และโอกาสในอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่ง 3 ทางรอดนี้ จะสามารถสร้างเม็ดเงินใหม่ ๆ เข้าประเทศได้ โดยจะฟื้นนโยบาย ''ครัวไทย สู่ครัวโลก'' เพราะทุกคนมองเห็นประเทศไทยสามารถเป็นครัวของโลกได้ เพราะมีพื้นที่ทางเกษตรมาก ซึ่งหากต่างชาติ สามารถสั่งสินค้าอาหารไทยได้ก็จะเป็นโอกาสของคนไทย ดังนั้น รัฐบาลจึงพยายามหาวิธีการถนอมคุณภาพอาหาร เพื่อให้การขนส่งไปต่างประเทศ โดยยังคงสามารถรักษาคุณภาพอาหารไว้ได้ อย่างประเทศสเปน ที่ยังไม่เคยมีการขนส่งผลไทยไปยังสเปน เพราะระยะทางไกลกว่าจะส่งถึงก็เน่าเสียแล้ว แต่คุณภาพ และรสชาติผลไม้ไทยนั้น ก็ยังมีรสชาติอร่อยกว่า
น.ส.แพทองธาร กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลจะเดินหน้าทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลกในเรื่องของสุขภาพ เช่นเดียวกับโอกาสในอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ที่รัฐบาลพยายามผูกวัฒนธรรมของทุกจังหวัดเข้าด้วยกัน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้ประเทศ พร้อมยังเห็นโอกาสในภาพยนตร์ของประเทศไทย โดยจะช่วยเหลือเพิ่มเครดิตเงินคืนให้กับกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ 30 เปอร์เซ็นต์ จากเดิม 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะในปีที่ผ่านมา มีกองถ่ายภาพยนตร์เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยกว่า 140 กองถ่าย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกิดเงินหมุนเวียน และยังเกิดการจ้างงานในประเทศด้วย
ทั้งหมดนี้ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลมองเห็นโอกาส และพยายามหาเม็ดเงินใหม่ๆ ทั้งจากต่างชาติ หรือโอกาสใหม่ ๆ ในประเทศไทยเพื่อให้เกิดเม็ดเงิน
ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงการแถลงผลงาน 90 วัน ของรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า คงมีการแถลงโดยภาพรวม ซึ่งน.ส.แพทองธารจะเป็นผู้แถลงเอง คงไม่ได้แยกเป็นรายกระทรวง
นายอนุทิน ยังกล่าวถึงการเปิดตัวพรรคโอกาสใหม่ ที่ปรากฏรายชื่อมีอดีตข้าราชการของกระทรวงมหาดไทย นั่งเป็นกรรมการบริหารพรรคจำนวนมาก จะถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากังวลหรือไม่ ว่า ยังไม่ได้ติดตามข่าว ซึ่งก็ดี ใครมีประสบการณ์ หรือประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว จะได้มีหนทางดี มาลงสนามแข่งขันกัน มีความชอบธรรมโดยสมบูรณ์ สามารถพูดได้ว่ามานั่งตำแหน่งนี้ได้ เพราะถูกเลือกมาจากประชาชนทั้งประเทศ ดีกว่ามานั่งรอให้คนอื่นแต่งตั้ง เมื่อถามว่า การเป็นอดีตข้าราชการเกษียณอายุมาทำพรรคการเมืองจะรอดหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็ต้องส่งกำลังใจให้รอด จะไปแช่งเขาทำไม คนมาร่วมทำงานให้กับบ้านเมือง ไม่ว่าจะเข้ามาในรูปแบบใดก็ต้องเชียร์กัน
นายอนุทิน ยังกล่าวถึงกรณี นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุหากสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ตามคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติรัฐสภา ทำให้ต้องยืดระยะเวลา 180 วัน และอาจเข้าเกณฑ์กฎหมายการเงินที่ต้องพักไว้ 10 วัน และจะขอหารือหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลในประเด็นนี้ ว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตีความ แต่ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยได้แสดงจุดยืน ว่าควรจะเป็นการทำประชามติ 2 ชั้น หรือ Double majority ซึ่งจุดยืนตรงนี้เราก็เห็นความจำเป็นอยู่ เพราะพอมีประเด็นเรื่องเกาะกูดและ การเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติต่างๆ เราจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการแก้ไขกฎหมาย ให้รอบคอบเนื่องจากหากมีการลงมติไปแล้วจะได้ไม่มีใครพูดว่าผิดพลาดในภายหลัง หรือว่าเราทำไม่รอบคอบ
"นี่เป็นเจตนารมณ์ของพรรคภูมิใจไทย อะไรที่จะทำประชามติต้องเป็นการทำประชามติจริงๆ และต้องมีส่วนร่วมจริงๆเพื่อตัดสินใจ เรื่องสำคัญและเกี่ยวข้องกับประเทศของเขา ไม่ใช่ประชามติ ของคนแค่มาออกเสียง"
เมื่อถามว่า หากนำผล กมธ.ร่วมฯ มาโหวตในสภาล่าง ก็จะยืนยันกรณีเสียงข้างมาก 2 ชั้น ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบ เราแสดงเจตนารมณ์ของเราแล้ว ใครเห็นด้วยกับเราก็โหวตตาม ใครไม่เห็นด้วยก็โหวตไม่เหมือนกัน ผลออกมาเป็นอย่างไรก็ต้องเคารพ ยืนยันว่าตรงนี้ไม่เกี่ยวกับความขัดแย้ง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความเห็นที่ไม่สอดคล้องกันได้ ใช้หลักการประชาธิปไตยในการตัดสิน สิ่งใดที่จะมาบังคับใช้ เมื่อถามว่า การแก้รัฐธรรมนูญจะเสร็จภายในรัฐบาลนี้ตามนโยบายของรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างมีเงื่อนเวลา มีขั้นตอน ถ้าแก้ได้ก็แก้ ถ้าแก้ไม่ทันก็ต้องรอสภาชุดหน้า
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 23 ก.ค.67 โดย น.ส.นันทนาแจ้งสถานภาพอยู่กินกันฉันสามีภริยา มีทรัพย์สินทั้งสิน 345,516,205 บาท มีหนี้สินจากเงินเบิกเกินบัญชีทั้งหมด 165,619 บาท โดยเป็นทรัพย์สินของ น.ส.นันทนา 225,725,389 บาท
ทรัพย์สินของ น.ส.นันทนา ประกอบด้วย เงินฝาก 21 บัญชี มูลค่า 41,620,690 บาท เงินลงทุนหุ้นกู้ กองทุน และพันธบัตรรัฐบาล มูลค่ารวม 166,554,699 บาท ที่ดิน 1 แปลงในแขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. มูลค่า 10,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1 หลัง คอนโดมิเนียมที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ มูลค่า 2,000,000 บาท ยานพาหนะ รถยนต์ส่วนบุคคล 1 คัน มูลค่า 2,500,000 บาท
ส่วนทรัพย์สินอื่น มูลค่ารวม 3,050,000 บาท ประกอบด้วย นาฬิกา Patek Philippe 1 เรือน มูลค่า 300,000 บาท สร้อยทองประดับเพชรและแหวนทองประดับเพชร 1 ชิ้น มูลค่า 600,000 บาท สร้อยทองและแหวนทองคำประดับบุษราคา 1 ชิ้น มูลค่า 230,000 บาท สร้อยคอทองคำ 6 ชิ้น มูลค่า 410,000 บาท สร้อยข้อมือและกำไล 4 ชิ้น มูลค่า 230,000 บาท และแหวนทองคำประดับเพชร 14 ชิ้น มูลค่า 1,280,000 บาท
นอกจากนี้ น.ส.นันทนา แจ้งว่ามีรายได้ต่อปี 5,800,000 บาท เป็นรายได้จากเงินเดือนและเบี้ยประชุม 1,500,000 บาท ดอกเบี้ยและเงินปันผล 4,000,000 บาท และค่าเป็นวิทยากร 300,000 บาท