วันที่ 21 พ.ย. 67 นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงมติเสียงส่วนใหญ่ของคณะกรรมาธิการ ให้คงไว้ตามที่วุฒิสภาแก้ไข คือใช้หลักเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น ซึ่งมีแนวโน้มว่า เมื่อส่งกลับไปให้แต่ละสภาพิจารณา ฝั่งสภาผู้แทนราษฎรจะไม่เห็นด้วยจนมีผลให้ต้องรอ 180 วัน แต่ปัญหาไม่ได้มีแค่ความล้าช้าในการแก้รัฐธรรมนูญ แต่การลงมติของ กมธ.ที่มีผลเช่นนี้ คือเสียงข้างมาก 13 ต่อ 9 ซึ่งเสียงข้างมากทุกเสียงมากจากกมธ.ฝั่ง สว. สะท้อนว่าปัจจัยที่จะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญเกิดขึ้นยากมากคือจำนวนเสียงของ สว.ที่จะไม่ครบตามเงื่อนไขที่ต้องมีมากกว่า 1 ใน 3

 

โดยนายจาตุรนต์ ระบุว่าถ้าเอาตามร่างของสว.ก็ไม่ต้องรอ 180 วันแต่จะมีปัญหาว่าพอไปทำประชามติแล้ว โอกาสไม่ผ่านจะสูงมากและส่งผลให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่เกิดขึ้นขึ้นอีกเลย เพราะฉะนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงต้องยืนยันเสียงของตนที่เคยลงมติเป็นเอกฉันท์ให้การทำประชามติมีเพียงชั้นเดียว จึงจำเป็นต้องไม่เห็นชอบ และเมื่อครบ 180 วันก็มายืนยันร่างของสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง

 

“แม้อาจจะทำให้ช้าและไม่สามาถลงประชามติได้ทันการเลือกตั้งนายก อบจ.ในต้นปีหน้า แต่เราไม่มีทางเลือก ต้องปล่อยให้ช้าและค่อยไปแก้ปัญหากัน เช่น ทำให้ผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสสร.ขึ้นมา โดยกระบวนการทั้งหมดนี้อาจเสร็จไม่ทันในอายุของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ แต่ก็อาจจะเขียนไว้ให้มีผลข้ามไปถึงสภาผู้แทนราษฎรสมัยหน้าก็อาจทำได้” นายจตุรนต์ กล่าว 

 

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ความล่าช้านี้ไม่ใช่ปัญหาเดียวของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือการที่กรรมาธิการร่วมมีมติออกมาเช่นนี้ ทำให้เห็นเจตนาที่ชัดเจนของกมธ.ฝั่งสว.ที่ต้องการให้กฎหมายประชาติมี 2 ชั้น ซึ่งจะมีผลทำให้การแก้รัฐธรรมนูญไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นที่เราต้องมองข้ามไปก็คือว่าในขั้นที่มีการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญกันในรัฐสภา จะมีเสียงของสว.เกิน 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกวุฒิภาหรือไม่ และถ้ามีไม่พอก็เท่ากับว่าเราจะยังแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อให้มีสรร.และมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาไม่ได้

 

ในอนาคตแม้ พ.ร.บ.ประชามติจะกลับมามีเนื้อหาตามที่สภาผู้แทนราษฎรต้องการ และทำให้การทำประชามติมีโอกาสผ่านสูงขึ้นก็จริง แต่ประชามติครั้งแรกจะไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย และพอถึงเวลาพิจารณากันในรัฐสภาถ้าไม่มีเสียงครบตามเงื่อนไข โดยเฉพาะถ้าไม่มีเสียงของสว.เกินกว่า 1 ใน 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นก็จะตกไป 

 

ดังนั้นสิ่งที่สังคมไทยจะช่วยกันคิดก็คือประชาชนจะต้องสื่อสารกับพรรคการเมืองทั้งหลายให้ช่วยกันหาทางที่จะผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จลุล่วงให้ได้ และช่วยกันส่งเสียงกับสมาชิกวุฒิสภาให้พวกเขาเห็นด้วยว่าประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญกันขนานใหญ่ เพราะรัฐธรรมนูญที่มาจากการยึดอำนาจรัฐประหารและมีเนื้อหาที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างมากนี้จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบ้านเมืองต่อไป

 

“เราจะต้องได้เสียง สว.เกินกว่า 1 ใน 3 มาร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ” อันนี้คือจุดสำคัญที่ต้องมาช่วยกันคิดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป