HSBC ระบุเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/67 โต 3.0% จากการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเชื่อการเติบโตเศรษฐกิจจะฟื้นตัวแบบ V-shaped หลังจากการผ่อนคลายนโยบายการคลังที่มีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ด้านปัจจัยอื่น อาทิ ความไม่แน่นอนทางนโยบายที่ลดลงและค่าเงินบาทที่อ่อนค่า จะสนับสนุนการคงอัตราดอกเบี้ย ส่วนภาคการท่องเที่ยวยังคงมีความท้าทาย

เมื่อวันที่ 21 พ.ย.67 นายอาริส ดาคาเนย์ นักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันเฉียงใต้ HSBC เปิดเผยว่า การเติบโตของ GDP ไทยสูงกว่าคาดการณ์อย่างมาก เป็นผลจากการเร่งใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล เนื่องจากไม่มีการผ่านงบประมาณในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2567 รัฐบาลจึงเร่งใช้จ่ายส่วนใหญ่ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2567 ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 25.9% เทียบปีต่อปี ด้านการบริโภคภาคเอกชนก็ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 3 แต่เราไม่คิดว่าเป็นผลจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในเฟสแรก เนื่องจากเงินถูกแจกจ่ายให้กับประชาชนจำนวน 14.5 ล้านคนในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ย. แม้บางคนอาจใช้เงินที่ได้รับทันที แต่ผลกระทบของการแจกเงินน่าจะเห็นชัดเจนในไตรมาส 4/67 มากกว่า ทั้งนี้ เราคาดว่าการเติบโตของ GDP ในไตรมาส 4/67 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.7%

โดยจากข้อมูลข้างต้น HSBC คาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะสามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือน ธ.ค.67 จะช่วยสนับสนุนไม่เพียงการเติบโต แต่ยังนับเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งอีกด้วย ขณะที่งบประมาณปี 2568 ผ่านตามกำหนดเวลา และเป็นงบประมาณแบบขยายตัวเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ อันรวมถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในเฟสถัดไป จึงคาดว่าการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ 2568 จะอยู่ที่ 4.6% ของ GDP นี่ไม่เพียงช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้แนวโน้มที่ ธปท. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีน้อยลง เนื่องจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังพร้อมกันอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านหนี้ครัวเรือน

ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลลดลงมาก ส่งผลให้บริษัทต่างชาติสามารถวางแผนการลงทุนล่วงหน้าและกลับมาลงทุนในไทยอีกครั้ง อันจะช่วยเสริมการเติบโตของประเทศ ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ บรรเทาความกังวลเรื่องความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องตระหนักด้วยว่าการอ่อนค่าของเงินบาทเป็นเหตุผลที่นำไปสู่การเรียกร้องให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ขณะที่การขับเคลื่อนของมาตรการด้านการคลังกำลังเร่งทะยาน เชื่อว่าคนจะหันกลับมาจับจ้องที่ภาคการท่องเที่ยวอีกครั้ง เหตุจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยต่ำกว่าคาดการณ์ในไตรมาส 3/67 โดยการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนลดลง นี่อาจเป็นเหตุผลที่สภาพัฒน์ฯ ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวปี 2567 เหลือ 36 ล้านคน (เดิม 36.5 ล้านคน) การลดลงเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจเป็นอุปสรรคต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้ผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมได้

#ข่าววันนี้ #HSBC #จีดีพี #ดอกเบี้ย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #บาทแข็ง