เมื่อเวลา 10.45 น.วันที่ 21 พ.ย.67 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. การออกเสียงประชามติ มีมติเสียงข้างมากเห็นชอบให้ใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น ในการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมติวุฒิสภาว่า มตินี้จะทำให้ไม่มีทางที่ 3 หมายความว่าเอาตามวุฒิสภาเลย ซึ่งเสียงข้างน้อยเอาตาม สส. ใช้เสียงข้างมากธรรมดา ทั้งหมดนี้จะนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและนำสู่ที่ประชุมวุฒิสภา ซึ่งวุฒิสภาจะมีมติอย่างไรก็สุดแล้วแต่ ด้วยแนวโน้มเขาคงเห็นตามกมธ.ร่วม

 

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรของเดิมเคยมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ใช้เสียงข้างมากธรรมดา เอกฉันท์ ไม่มีการคัดค้านอะไรเลย ตนก็คาดว่าสภาผู้แทนราษฎรก็คงจะยืนตามความเห็นเดิม แปลว่าไม่เห็นด้วยกับมติกมธ.ร่วม ให้ใช้มติของสภาผู้แทนราษฎร อันนี้ก็แปลทางรัฐธรรมนูญคือ กฎหมายนี้ต้องถูกยับยั้งไว้ ต้องรอ 180 วัน แล้วหยิบยกขึ้นมาพิจารณาใหม่

 

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ทั้งนี้กฎหมายระบุว่าถ้า 180 วันแล้ว หยิบยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ ถ้าสมมุติว่าสภาผู้แทนราษฎรยืนตามความเห็นเดิมเสียงข้างมากธรรมดา ก็แปลว่าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบตามสภาผู้แทนราษฎรที่เคยมีมติไว้แต่เดิม รัฐธรรมนูญเขาถือเอาสภาผู้แทนราษฎรเป็นหลัก ถ้าเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าก็สามารถนำเอาร่างนี้ที่สภาผู้แทนเคยมีมติไว้แล้วนำขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธยได้เลยเพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมาย

 

เมื่อถามว่า หากต้องรอ 180 วัน ท้ายที่สุดจะสามารถทำรัฐธรรมนูญใหม่ทันหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าทำประชามติ 3 ครั้งไม่ทันแน่นอน ขณะนี้รัฐบาลเหลือเวลาอยู่ 2 ปีเศษๆคงไม่ทัน แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาว่า หากมีการย่นย่อ การทำประชามติเหลือ 2 ครั้งก็อาจจะทัน ทั้งนี้เรื่องการทำประชามติ 2 ครั้ง ความเห็นของสภาและพรรคการเมืองทั้งหลายยังไม่ลงตัวนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นของฝ่ายสภาที่เห็นว่าจะต้องมีการทำประชามติครั้งแรกโดยที่ยังไม่มีร่าง ซึ่งมีความหมายว่า เป็นการทำประชามติ 3 ครั้ง ตนและทีมงานจึงขอพูดคุยเรื่องนี้กับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน ทั้งพรรคการเมืองและฝ่ายสภา พูดง่ายๆ ว่าถ้าทำ 2 ครั้งได้ก็อาจจะทัน 

 

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า หากใครได้ดูรัฐธรรมนูญอย่างละเอียดจะพบว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 137 วรรคท้าย ระบุว่าหากเป็นกฎหมายการเงิน ระยะเวลา 180 วัน ให้ลดลงเหลือ 10 วัน ซึ่งตนมองว่ากฎหมายประชามติก็เป็นกฎหมายการเงิน เพราะต้องใช้งบประมาณในการทำประชามติ ตรงนี้จึงเป็นข้อกฎหมายที่ฝากไว้ให้คิดกัน ซึ่งพวกเราจะนำเรื่องนี้มาคิดด้วยและนำเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ว่า ไม่จำเป็นต้องรอ 180 วัน 

 

เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า ท้ายที่สุดก็ต้องเข้าไปวิปรัฐบาล ซึ่งจะหารือโดยเร็ว โดยตนจะคุยกับนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาลว่ามีประเด็นข้อกฎหมายตรงนี้ด้วย 

 

“ ผมเห็นในรัฐธรรมนูญมานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีใครพูดเรื่อง 180 วัน ว่าอาจไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ ใครที่เป็นนักกฎหมายลองไปเปิดรัฐธรรมนูญมาตรา 137 วรรคท้ายดูก็อาจจะทำประชามติทันก็ได้ แต่เท่าที่คิดกันมาในอดีต ว่าหากไม่ทันจริงๆ ความคิดของพวกเรามองว่าก็ต้องดันไป อย่างน้อยที่สุดขอให้มีการเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสสร.ให้แล้วเสร็จ เพื่อที่จะได้มายกร่างรัฐธรรมนูญรัฐฉบับใหม่ก็ถือว่าเราทำหน้าที่ เพื่อที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะตรงนี้คือนโยบายของรัฐบาล“ นายชูศักดิ์ กล่าว

 

เมื่อถามว่า มีโอกาสที่จะหารือกับฝ่ายค้านด้วยหรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า ฝ่ายค้านมีความตั้งใจที่อยากจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้นอะไรที่เป็นไปได้ ตนเชื่อว่าฝ่ายค้านจะให้ความร่วมมือ ได้ทำงานร่วมกันมา ตนก็ได้เห็นความตั้งใจของเขาที่อยากจะทำรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลเองก็มีความตั้งใจเช่นกัน ซึ่งได้เขียนไว้ในนโยบายของรัฐบาลว่า จะเร่งรัดจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนโดยเร็วที่สุด 

 

เมื่อถามว่า ประเด็นที่ออกมาเกี่ยวกับพรรคร่วมรัฐบาลที่มีความเห็นต่างหรือไม่ นายชูศักดิ์หัวเราะก่อนตอบว่า ไม่เอา ไม่อยากทะเลาะกับใคร