"อัยการสูงสุด" ไม่รับดำเนินการ คดีทักษิณ-เพื่อไทย"ล้มล้างการปกครอง ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ด้านนายกฯอิ๊งค์ ปฏิเสธให้ความเห็นอสส.ไม่รับคำร้องทักษิณ-พท.ล้มล้างปกครอง โยนสื่อถามอดีตนายกฯ เอง ปมถือสัญชาติ-อาปูกลับไทยสงกรานต์ปีหน้า ขณะที่"ทวี" แจง"ยิ่งลักษณ์"กลับไทย ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เริ่มต้นที่กระบวนการศาลก่อน ย้ำไม่มี"ทักษิณโมเดล"
เมื่อวันที่ 19 พ.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุด (อสส.) ได้ลงนามตอบถ้อยคำต่อศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน ซึ่งเดิมนั้นมีรายงานว่า ที่อัยการสูงสุดส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญมีข้อมูลในการสอบถ้อยคำ ทั้งทางฝั่งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง โดยในส่วนผู้ถูกร้องทราบว่าไม่ได้มีการสอบถ้อยคำ นายทักษิณ ชินวัตร
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมพบว่าในวันดังกล่าว(8พ.ย.) นอกจากอัยการสูงสุดจะส่งบันทึกสอบถ้อยคำทั้งพยานฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีความเห็นแจ้งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เข้าหลักเกณฑ์ว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ ซึ่งเป็นไปตามความเห็นของคณะทำงานที่เสนอมายังอัยการสูงสุดก่อนหน้านี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 บัญญัติไว้ว่า บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ ผู้ใดทราบว่ามีการกระทำตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้
ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดำเนินการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ การดำเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการตามวรรคหนึ่ง เท่ากับว่าแม้อัยการสูงสุดจะมีมติไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ แต่ศาลรัฐธรรมนูญจะยังมีอำนาจพิจารณาคดีต่อไปได้
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่อัยการสูงสุดไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คดีล้มล้างการปกครอง ว่า ให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายทั้งหมด และไม่ขอออกความเป็นว่ากรณีดังกล่าวจะเป็นสัญญาณดีต่อรัฐบาลที่ยังมีคำร้องตามองค์กรอิสระหรือไม่ โดยขอให้ผ่านไปทีละเรื่อง เพราะไม่ต้องการตีเรื่องหนึ่ง ไปกระทบกับเรื่องอื่น ๆ
สำหรับกรณีที่นายทักษิณออกมาเคลื่อนไหวหาเสียง ทำให้การเมืองกระเพื่อม และทำให้การเมืองไม่เป็นอิสระ ว่า การหาเสียงเป็นการนำนโยบายไปเล่าให้ประชาชนเข้าใจได้โดยง่าย ทั้งการเมืองท้องถิ่น และระดับประเทศ ส่วนคำพูดต่าง ๆ เป็นสีสัน เพื่อให้การปราศรัยสนุกสนานยิ่งขึ้น โดยการเคลื่อนไหวของนายทักษิณไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศ เพราะการไปร่วมประชุมที่ APEC ที่สาธารณรัฐเปรู ก็ได้รับสัญญาณอันดี ที่อยากลงทุนกับประเทศไทย และเชื่อมั่นในประเทศไทยที่มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ทั้งการพูดคุยระหว่างมื้ออาหาร และการหารือร่วมกับ CEO ต่างชาติ และผู้นำต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีโอกาสอย่างมาก
น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวถึงจำนวนการถือครองสัญชาติของนายทักษิณ ภายหลัง นายสนธิญา สวัสดี นักร้องเรียนทางการเมือง ไปยื่นร้อง กกต.ให้ตรวจสอบนายทักษิณกรณีถือครอง 2 สัญชาติทั้งไทยและมอนเตเนโกร ซึ่งอาจขัดต่อคุณสมบัติการเป็นผู้ช่วยหาเสียง โดยนายกฯ ได้ทำหน้างงๆ และปฏิเสธที่จะตอบคำถาม พร้อมกล่าวว่า นั่นสิ และขอให้สื่อมวลชน ไปสอบถามกับนายทักษิณเอง เนื่องจาก นายทักษิณ ได้กลับมาแล้ว
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ นายทักษิณได้กล่าวกับสำนักข่าวต่างประเทศถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะกลับประเทศมาร่วมงานสงกรานต์ในปีหน้านั้น น.ส.แพทองธาร (ถอนหายใจ) และหัวเราะ พร้อมขอให้สื่อมวลชน ไปสอบถามจากนายทักษิณ และยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้มีการประสานมายังรัฐบาล ถ้ามีก็เพียงโทรหาหลานเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์สำนักข่าว Nikkei Asia เผยแพร่บทสัมภาษณ์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 พ.ย.67 โดยมีการแสดงความเห็นในหลายประเด็นทั้งสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลก และผลกระทบจากการกลับสู่อำนาจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาของไทย และประเด็นที่เกี่ยวกับคนในครอบครัว ทั้งกรณีความเป็นผู้นำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกรณีของน้องสาวหรืออดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยังอยู่ระหว่างลี้ภัย ซึ่งเขาเผยว่าอาจจะสามารถกลับไทยได้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีหน้า
Nikkei Asia ระบุว่า การให้สัมภาษณ์ของทักษิณครั้งนี้ถือเป็นการให้สัมภาษณ์สื่อใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เขากลับไทยเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ในประเด็นผลกระทบจากรัฐบาลทรัมป์ 2.0 นั้น ทักษิณได้เรียกร้องรัฐบาลไทยให้มีมาตรการสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ประกอบธุรกิจและการลงทุนในสหรัฐฯ เนื่องจากการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้ความสำคัญต่อการค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายทักษิณ ยังตอบคำถามเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย โดยชี้ว่าบุตรสาวของเขา "ประสบความสำเร็จในการผสมผสานประสบการณ์ของเขาในฐานะนักการเมือง กับความคิดของคนรุ่นใหม่" และเสริมว่าเขาให้ความเคารพบุตรสาวและปฏิเสธที่จะให้คำแนะนำด้านนโยบายที่เฉพาะเจาะจงแก่เธอ
"ผมไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรที่ขัดขวางเธอ (ยิ่งลักษณ์) ไม่ให้กลับบ้าน ผมคิดว่าเธออาจจะกลับมาก่อนหน้านั้นนิดหน่อย ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส (ที่เหมาะสม)"
ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการเดินทางกลับไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลัง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าจะกลับมาร่วมประเพณีวันสงกรานต์ปี 2568 ว่า เบื้องต้นยังไม่ได้รับการประสานมา แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เพราะคนที่จะเข้าสู่กระบวนการของกรมราชทัณฑ์ ต้องเริ่มต้นที่กระบวนการศาลก่อน คือมีหมายขังที่ออกโดยศาล เมื่อรับหมายแล้วกรมราชทัณฑ์ก็ปฏิบัติตาม และตามกฎหมายของกรมราชทัณฑ์ปัจจุบันมีการยกระดับมากขึ้น หากเป็นผู้หญิงก็ต้องอยู่ในทัณฑสถานกลาง ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากน.ส.ยิ่งลักษณ์กลับมา จะเข้าสู่กระบวนการแบบเดียวกับนายทักษิณ จนไปถึงขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า สมัยที่นายทักษิณกลับมา ตนยังไม่ได้เป็นรมว.ยุติธรรม แต่สำหรับการกลับมาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายราชทัณฑ์ ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า จะเป็นโมเดลเดียวกับนายทักษิณ หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ไม่ได้เป็นโมเดลอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างปฏิบัติตามกฎหมาย
วันเดียวกัน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ส่งหนังสือร้องเรียนทางไปรษณีย์ไปยัง กกต. ให้ตรวจสอบและมีความเห็นส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธารและนายมาริษ สิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4)(5) ประกอบมาตรา 160 (4)(5)และ (8) หรือไม่
ทั้งนี้ นายเรืองไกร ได้นำส่งหลักฐานเป็นเอกสารกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและผลจากที่ได้เข้าให้ถ้อยคำต่อกกต.เมื่อวันที่ 13 พ.ย.67 และพร้อมเกี่ยวกับการยังคงเป็นกรรมการบริษัท สยาม เมดเทค ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ของนายมาริษ ภายหลังจากที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 187 วรรค 1 เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 (5) หรือไม่ และหลังจากการให้ถ้อยคำมีสำนักข่าวแห่งหนึ่งได้นำเสนอข่าวการลาออกจากกรรมการบริษัทและการโอนหุ้น 2 บริษัทของนายมาริษจึงได้ส่งเอกสารเพิ่มเติมให้ กกต.ดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งเห็นว่า กกต.ควรถือเป็นความปรากฏที่เพียงพอส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้ไต่สวนวินิจฉัยได้ เนื่องจากมีการเปิดเผยรายละเอียดสำเนาเอกสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าด้วย
สำหรับกรณีน.ส.แพทองธารที่แต่งตั้งนายมาริษเป็นรมว.ต่างประเทศทั้งที่มีหลักฐานปรากฏชัดดังกล่าว อาจแสดงให้เห็นได้ว่าน.ส.แพทองธาร ต้องรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าการแต่งตั้งนายมาริษ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 160(4)(5)(8) จึงขอให้ กกต.รีบส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อไต่สวนวินิจฉัยว่าน.ส.แพทองธารและนายมาริษ มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ หรือมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งหวังว่ากกต.จะดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและไม่ชักช้า
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ช่วยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ไปกล่าวบนเวทีปราศรัยประกาศจะได้ที่นั่ง ส.ส. 200 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ขณะที่พรรคประชาชนประกาศว่าจะได้ 270 ที่นั่ง ว่า ถ้าต่างคนต่างประกาศเป้าหมายของตัวเอง แบบนี้เราคงมี ส.ส. 2,000 คน ในสภาก็ดี เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยตั้งเป้าหมายไว้กี่ที่นั่ง นายอนุทิน กล่าวว่า 399 ที่นั่ง