เกษตรกรชาวนาในพื้นที่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ และพื้นที่ใกล้เคียงแห่นำข้าวเปลือก มาขายให้กับการจัดตลาดนัดข้าวเปลือก ปีการผลิต 2567/68 ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับสหกรณ์การเกษตรคูเมือง จำกัด จัดขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกและอำนาจต่อรองในการขายข้าวราคาที่เป็นธรรม และได้สูงกว่าท้องตลาดตันละ 200-400 บาท
วันที่ 19 พ.ย.67 นายจำเริญ แหวนเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วย นายนคร บุตรดีวงษ์ พาณิชย์จังหวัดบุรีรัมย์ นางวิไล ยูฮันเซ่น สหกรณ์จังหวัดบุรีรัมย์ นายมนูญศักดิ์ นามประเทือง นายอำเภอคูเมือง และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจติดตามการเปิดตลาดนัดข้าวเปลือกจังหวัดบุรีรัมย์ ปีการปลิต 2567/68
ซึ่งสำนักงานพาณิชย์จังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับสำนักงานสหกรณ์จังหวัดบุรีรัมย์ ,สำนักงานเกษตรจังหวัดบุรีรัมย์ ,สหกรณ์การเกษตรคูเมือง จำกัด ,ภาคีเครือข่าย และผู้ประกอบการโรงสี ร่วมกันจัดขึ้นที่ สหกรณ์การเกษตรคูเมือง จำกัด สาขา 1 ต.บ้านแพ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ เพื่อให้กลไกตลาดในการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรมีการแข่งขัน เกษตรกรมีทางเลือกและอำนาจต่อรอง ในการขายข้าวมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้การซื้อขายข้าวเปลือก เกิดความเป็นธรรมด้านราคา การชั่งน้ำหนัก และตรวจสอบคุณภาพข้าว อีกทั้งสร้างความเป็นธรรมให้แก่เกษตรกร ในการจำหน่ายข้าวเปลือก เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่เกษตรกรสร้างอำนาจต่อรอง ให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวเปลือกได้ราคาสูงขึ้น
โดยมีผู้ประกอบการค้าข้าวจากโรงสีต่างๆจำนวน 3 ราย ที่เข้าร่วมโครงการ มาตั้งโต๊ะเพื่อประมูลให้ราคารับซื้อที่เป็นธรรมแก่เกษตรกรชาวนาที่นำข้าวเปลือกมาขายในการจัดตลาดนัดข้าวเปลือกจังหวัดบุรีรัมย์ ปีการปลิต 2567/68 นี้ด้วย ซึ่งได้มีการกำหนดราคารับซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิ ในความชื้นไม่เกิน 15% ในราคาตันละ 14,600 บาท สูงกว่าโรงสีทั่งไปที่รับซื้ออยู่ที่ 14,400 บาท ส่วนความชื้นที่ 25 % รับซื้อในราคาตันละ 12,400 บาท สูงกว่าโรงสีทั่งไปที่รับซื้ออยู่ที่ 12,200 บาท ซึ่งมีราคาสูงกว่าโรงสีทั่วไปอยู่ที่ตันละ 200-400 บาท แต่ต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพและเปอร์เซ็นต์ข้าวเปลือก ที่เกษตรกรนำมาเข้าร่วมโครงการด้วย ซึ่งการเปิดตลาดนัดข้าวเปลือกในครั้งนี้ ได้มีเกษตรกรชาวนานำรถบรรทุกทั้งกระบะ และบรรทุก 6 ล้อ ขนข้าวเปลือกมาเข้าคิวรอขายอย่างคึกคัก
นายจำเริญ แหวนเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า การจัดให้มีตลาดนักข้าวเปลือกขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรได้รับความเป็นธรรมในการขายข้าวเปลือกให้ได้ราคาดี โดยเฉพาะในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. จะเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวจะออกสู่ตลาดเยอะ โดยเฉพาะข้าวเปลือกหอมมะลิ กข.15 และหอมมะลิ 105 ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลง จึงได้มีการจัดตลาดนัดข้าวเปลือกขึ้น เพื่อช่วยพยุงราคาไม่ให้ลดลง และยังช่วยให้เกษตรกรชาวนาได้มีทางเลือกในการขายข้าวให้ได้ราคาดี ได้รับความเป็นธรรมในการตรวจวัดคุณภาพข้าว และการชั่งน้ำหนัก ที่จะมีเจ้าหน้าที่กำกับดูแลการซื้อขายข้าวทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด ทั้งยังก่อให้เกิดการเชื่อมโยงผลผลิตของเกษตรกรกับโรงสี หรือผู้ซื้อโดยตรง ซึ่งเป็นการเพิ่มทางเลือกในการขายสินค้า และเพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับเกษตรกรชาวนา ที่สามารถขายข้าวได้ในราคาที่เป็นธรรม และไม่ถูกดกงหรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าที่รับซื้อข้าวทั่วไป
โดยการจัดตลาดนัดข้าวเปลือกครั้งนี้ กำหนดจัดขึ้น 3 วัน ระหว่างวันที่ 19-21 พ.ย.67 ที่ สหกรณ์การเกษตรคูเมือง จำกัด สาขา 1 ต.บ้านแพ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งคาดว่าจะมีเข้าเปลือกเข้าสู่ตลาดนัดในครั้งนี้มากกว่า 1,000 ตัน มีมูลค่าการจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 12,400,000 บาท ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 2-4 แสนบาท ซึ่งจังหวัดบุรีรัมย์ ถือเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวหอมมะลิที่สำคัญ โดยมีเกทะเบียนผู้ปลูกข้าวกว่า 204,094 ราย มีพื้นที่เพาะปลูกข้าว 2,788,177 ไร่ มีผลผลิตรวมประมาณ 1,003,743 ตัน เฉลี่ย 360 กิโลกรัมต่อไร่
ด้านเกษตรกรชาวนาในพื้นที่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ที่นำข้าวเปลือกมาขายที่ตลาดนัดข้าวเปลือกครั้งนี้ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ได้ราคาดีกว่าการนำไปขายให้กับโรงสีหรือลานรับซื้อทั่วไป และมีความเชื่อมั่นว่าจะไม่ถูกเอาเปรียบ ในเรื่องของการชั่ง และการหักความชื้น หรือสิ่งเจือปน เพราะเป็นโครงการของรัฐ ที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้กำกับดูแลด้วยตนเอง
นายดี ทอนเสา อายุ 66 ปี ชาวบ้านหัวฝาย ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ที่อยู่ไกลจากลานรับซื้อข้าวของสหกรณ์การเกษตรคูเมือง จำกัด สาขา 1 ต.บ้านแพ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ร่วม 20 กิโลเมตร บอกถึงสาเหตุที่ตัดสินใจนำข้าวเปลือกมาขายที่นี่ เนื่องจากได้ราคาดีกว่าโรงสีทั่วไป ถึงจะใกล้กว่า แต่ราคารับซื้อของที่นี่ดีกว่าเลยมาขายที่นี่
นายวิชิต ศรฤทธิ์ อายุ 52 ปี ชาวนา ต.บ้านแพ อ.คูเมือง บอกว่า ตนทำนา 40 กว่าไร่ นำข้าวมาขายที่นี่ 2 ครั้งแล้ว เพราะขายได้ราคาดีกว่าขายให้โรงสีทั่วไป พร้อมเชิญชวนให้เพื่อนเกษตรกรชาวนาได้นำข้าวเปลือกมาขายให้กับตลาดนัดข้าวเปลือก เพราะจะได้ราคาที่เป็นธรรม และไม่ถูกเอาเปรียบด้วย
นายนิวัฒน์ พุทธศรี อายุ 35 ปี ต.คูเมือง อ.คูเมือง บอกว่าหากเทียบราคาการรับซื้อระหว่างการจัดตลาดนัดฯ กับโรงสีทั่วไป การจัดตลาดนัดนี้ให้ราคารับซื้อที่ดีกว่า ทั้งราคารับซื้อที่ให้ราคาสูงกว่า และกระบวนการขั้นตอนที่เป็นธรรมไม่เอาเปรียบ ซึ่งวันนี้ตนได้นำข้าวเปลือกมาขายในวันนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว