หากเป็นนิยายจีนหรือภาพยนตร์จีนกำลังภายใน ก็ต้องบอกว่า ณ ชั่วโมงนี้ ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ก็ไม่ผิดอะไรกับกำลังฝึกปรือวิชาสิบแปดฝ่ามือสยบมังกร หรือฝ่ามือพิชิตมังกร 18 ท่า อย่างขะมักเขม้น
ด้วยการแต่งพลออกศึก แต่งทัพจัดคน สำหรับ เตรียมการทำสงครามใหญ่ ที่คาดหมายกันว่า น่าจะเป็น “จีน” เจ้าของฉายา “พญามังกร” ประเทศที่ยุคนี้ พ.ศ.นี้ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งประเทศสำคัญของสหรัฐอเมริกา
โดยพลันที่นายทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัยหนึ่ง หลังจากที่ห่างหายไปวาระหนึ่งเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านั้น ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ได้ “จิ้มเลือก” บุคคลให้มาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในรัฐบาลของเขาอย่างชนิด ควันหลงจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ยังไม่ทันได้จางหายไปเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี แม้ดูจากเหล่าบุคคลที่ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เลือกให้เข้ามาดำรงตำแหน่งในคณะรัฐบาลของเขา ก็จะมีเรื่องการตอบแทนบุคคลเหล่านั้น ที่ได้ช่วยเหลือเขาจนชนะเลือกตั้งได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กันอีกครั้ง
อาทิเช่น การเลือก “นายอีลอน มัสก์” มหาเศรษฐีชาวสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ และเจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา บริษัทสเปซเอ็กซ์ และแพลตฟอร์มเอ็กซ์ แอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดียยอดนิยม ให้มาดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล” อันเป็นกระทรวงที่ตั้งสถาปนาขึ้นมาใหม่ เพื่อตอบแทนที่นายมัสก์ ช่วยเหลือต่อนายทรัมป์ สารพัด กระทั่งด้านเงินทุนในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง จนทำให้ได้รับชัยชนะได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัยสมใจ เป็นต้น
ทว่า เหล่าบรรดานักวิเคราะห์ก็แสดงทรรศนะว่า มีเรื่องการเตรียมความพร้อมเพื่อสัประยุทธ์กับพญามังกร หรือจีน ในมิติต่างๆ อยู่ไม่น้อยทีเดียวเชียว นอกเหนือจากการตอบแทนที่มาช่วยเลือกตั้งแล้ว
ทั้งนี้ ก็ด้วยเหล่าบุคคลที่ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ “จิ้มเลือก” มาแต่ละคนนั้น ต้องถือว่า เป็น “สายเหยี่ยว” และเป็น “เหยี่ยว” ที่พร้อมจะจิกกรงเล็บ หรือพิฆาตจิกตี กับพญามังกร กันแทบจะถ้วนหน้า
เริ่มจาก “นายจอห์น แรตคลิฟฟ์” ซึ่งผู้นี้อดีตเคยดำรงตำแหน่ง “ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ” หรือ “ดีเอ็นไอ” มาก่อน ในสมัยที่นายทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงปลายๆ คือ ระหว่างปี 2020 (พ.ศ. 2563) มาในคราวนี้นายแรตคลิฟฟ์ ก็จะได้มาเป็น “ บิ๊กบอส” หรือ “นายใหญ่” ของ “สำนักข่าวกรองกลาง” หรือ “ซีไอเอ” อันเป็นหน่วยสายลับของสหรัฐฯ ที่ทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี ตามการจิ้มเลือกของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ในยุคนี้
กล่าวถึงนายแรตคลิฟฟ์ผู้นี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็วิพากษ์วิจารณ์ต่อจีนบ่อยครั้ง รวมถึงล่าสุด เขาก็กล่าวว่า จีนมีท่าทีว่าจะเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาเลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ นายแรตคลิฟฟ์ ก็เคยพูดถึงเรื่องที่จีนพัฒนากำลังพลในกองทัพ ให้เป็น “ซูเปอร์ทหาร” โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อให้ได้ทหารที่มีความสามารถด้านต่างๆ เกินทหารที่เป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปอีกด้วย
ตามมาด้วย “นายพีต เฮกเซท” อดีตทหารผ่านศึก ที่ผ่านสารพัดสมรภูมิสงคราม เช่น สงครามอิรัก และสงครามอัฟกานิสถาน เป็นต้น ก่อนผันตัวเองมาเป็นพิธีกร นักวิเคราะห์ข่าว ของสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ข่าวให้กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ ก็ได้ส่งเสียงเชียร์สนับสนุนต่อนายทรัมป์ไปด้วย จนเมื่อนายทรัมป์ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย เขาก็ได้รับความไว้วางใจ ได้นั่งเก้าอี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ” หรือ “เพนตากอน” เป็นการตอบแทน และก็ถือว่า เป็นว่าที่รัฐมนตรีสายเหยี่ยวของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งในสถานการณ์ด้านความมั่นคงทั่วไป และความมั่นคงหากมีการเผชิญหน้ากับพญามังกรจีน
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงนายเฮกเซท มีทัศนคติอย่างไรกับจีนแผ่นดินใหญ่ ก็ต้องบอกว่า นายเฮกเซท เคยวิพากษ์วิจารณ์จีนอย่างแรงๆ ร่วมกับ “นายทักเกอร์ คาร์ลสัน” ซึ่งเป็นพิธีกรของสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ด้วยกันมาแล้ว โดยนายเฮกเซท ตำหนิวิจารณ์จีนในเรื่องเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 หรือโควิด-19 ที่ในครั้งนั้น เขาเรียกชื่อเป็น “ไวรัสอู่ฮั่น” ไม่เรียก “โควิด-19” และเสียดสีเหน็บแนมว่า เป็น “ไข้กังฟลู (Kung flu)” อันเป็นการหยิบยกศิลปะการต่อสู้ของจีน คือ “กังฟู (Kung fu)” มาล้อเลียน และว่า จีนเป็นต้นตอของวิกฤติโควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก
ถัดมาก็เป็น “นายไมเคิล วอลซ์” หรือ “ไมค์ วอลซ์” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. รัฐฟลอริดา พรรครีพับลิกัน ได้รับการเลือกจากว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ให้มาดำรงตำแหน่ง “ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาว” หรือ “เอ็นเอสเอ”
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึง สส.แห่งรัฐฟลอริดาผู้นี้ ที่ผ่านมา ก็มักจะตำหนิวิจารณ์ต่อจีนหลายประการ รวมถึงเรียกร้องให้ชาวอเมริกัน จับตาจ้องมองเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากจีนแผ่นดินใหญ่ให้มากเป็นพิเศษ ยิ่งกว่าภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากประเทศอื่นๆ
ส่วนสุภาพสตรีที่เป็นเหยี่ยวต่อจีน ก็มีเช่นกัน นั่นคือ “นางเอลิส สเตฟานิก” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. รัฐนิวยอร์ก พรรครีพับลิกัน ซึ่งว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เลือกให้ไปดำรงตำแหน่ง “เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ” ทั้งนี้ ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 (พ.ศ. 2567) ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น จีนพยายามจะเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งดังกล่าว ถึงขั้นพยายามจะเจาะ หรือแฮก ระบบโทรศัพท์มือถือของนายทรัมป์เลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี ในคณะรัฐบาลของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นมิตรกับจีนมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นนายมัสก์ ว่าที่เจ้ากระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลที่เพิ่งตั้งใหม่ ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากกิจการของเขามีอยู่ในจีน ได้แก่ โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา และนายมัสก์ก็เดินทางเยือนจีน ตลอดจนพบปะกับบุคคลสำคัญๆ ในรัฐบาลจีนบ่อยครั้ง จนมีคำเรียกนายมัสก์ว่า “คิสซิงเจอร์ยุคใหม่” ผู้เชื่อมสัมพันธ์สหรัฐฯ กับจีนเลยทีเดียวก็ว่าได้
............................