จากเหตุสะเทือนขวัญเป็นข่าวโด่งดังทั่วประเทศกรณีคนร้ายไม่ทราบจำนวนบุกบ้านฆ่าโหดนายเจื้อง อายุ 85 ปี มีบาดแผลที่หน้าผากเหนือคิ้วขวายาวไปถึงขมับ และท้ายทอยอีกสองแผล และ น.ส.ร้วน อายุ 89 ปี แขนซ้ายมีบาดแผลถูกตีด้วยของแข็งจนผิดรูป สองตายายซึ่งเป็นพี่น้องกันเสียชีวิตสภาพเปลือยกายทั้งสองศพ ตายมาแล้วประมาณ 3-4 วัน ภายในบ่อน้ำข้างบ้านตนเอง หมู่ 10 ตำบลนาพญา อ.หลังสวน จ.ชุมพร 

ตรวจสอบเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง  บริเวณด้านล่างมีเตียงนอนพบคราบเลือดตกอยู่ข้างเตียง และพบคราบเลือดบริเวณเสาข้างบ้าน โดยสภาพของคราบเลือดอยู่ห่างจากบ่อน้ำที่พบศพประมาณ 10 เมตร  เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.หลังสวนตรวจสอบร่วมแพทย์โรงพยาบาลปากน้ำหลังสวน หน่วยกู้ภัยพุทธประทีปหลังสวนชันสูตรพลิกศพไว้เป็นหลักฐาน เบื้องต้นปมเหตุคาดไว้ 2 ประเด็นคือเรื่องทรัพย์สินและปมที่ดิน 

ภายหลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8 ได้เดินทางมาด้วยเฮลิคอปเตอร์ลงพื้นที่พร้อมคณะเดินทางไปยังบ้านหลังเกิดเหตุซึ่งอยู่ห่างจาก สภ.หลังสวน ประมาณ 4-5 กิโลเมตร ตรวจสอบเสร็จเดินทางกลับมายังสภ.หลังสวนเรียกประชุมเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องก่อนเดินทางกลับโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด

แต่ครั้งนั้นด้าน พ.ต.อ.ฉลาด  พลนาการ  ผกก.สภ.หลังสวน กล่าวให้ข้อมูลว่า เหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ เพราะมีคนตาย 2 ศพ ซึ่งเป็นคนแก่ จึงต้องขอเวลาเก็บรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียด หลักฐานบางอย่างบางเรื่องอยู่ในสำนวนการสอบสวนไม่สามารถเปิดเผยได้ ขอเวลาอีก 2-3 วันจะสรุปสาเหตุว่าเกิดจากเรื่องอะไร คนร้ายเป็นกลุ่มไหน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง 

ล่าสุด น.ส.จิณห์วรา อายุ 46 ปี และนายสุรชัย อายุ 44 ปี ลูกสาวและลูกชายนายเจื้อง ผู้เสียชีวิต เดินทางพบผู้สื่อข่าวบริเวณด้านหน้า สภ.หลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร เพื่อเป็นสื่อกลางสอบถามความคืบหน้า พร้อมกล่าวว่า จากคดีสะเทือนขวัญดังกล่าวจนถึงวันนี้ (18 พ.ย.67) กว่า 7 เดือน ยังไม่สามารถติดตามจับคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายได้

แม้ว่าทางญาติจะทำหนังสือติดตามทวงถามความคืบหน้าของคดีมาโดยตลอดตั้งแต่หลังเกิดเหตุแล้วก็ตาม  ซึ่งก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากตำรวจ สภ.หลังสวน ให้มีความหวังว่าจะจับคนร้ายได้ โดยมีหนังสือตอบกลับลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 พอสรุปได้ว่า 1.ได้ส่งของกลาง และเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ ผู้ต้องสงสัยและผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมแล้วยังไม่ได้ผล ยังไม่ทราบคนร้าย 2.สิ่งที่ดำเนินการต่อไป สอบปากคำเพิ่มเติม  สืบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ ผู้ต้องสงสัยเพิ่มและส่งตรวจเป็นพยานหลักฐานต่อไป 

ลูกสาวผู้ตาย กล่าวอีกว่า ต่อมามีหนังสือตอบกลับจากตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร แจ้งมายังตน ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 เรื่อง ความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาที่ 232/2567 หนังสือแจ้งความคืบหน้าแต่ไม่มีความคืบหน้าอะไร เนื้อหาเป็นการแจ้งอ้างอิงจากหนังสือตอบกลับจาก สภ.หลังสวนเท่านั้นไม่มีอะไรคืบหน้า อีกทั้งตนยังมีข้อสงสัยที่ตำรวจพูดว่า “รู้ว่าคนร้ายจ่ายค่าปิดปากไม่ให้พูดจำนวน 3 หมื่นบาทให้ผู้เห็นเหตุการณ์ แต่จนกระทั้งวันนี้ตำรวจก็ยังไม่ได้ออกหมายจับ”

ลูกสาวผู้ตาย กล่าวต่ออีกว่า การดำเนินคดีนั้นทำได้ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น  เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรหลังสวน จังหวัดชุมพร ยังไม่ได้จับกุมผู้ต้องหา และปิดคดีฆาตกรรม น.ส.ร้วน และนายเจื้อง ได้  ทั้งๆ ที่คดีที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญ  ทารุณโหดร้าย ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งเครือญาติ ครอบครัวผู้สูญเสีย และประชาชนที่ติดตามคดีนี้ ที่ต้องการความยุติธรรม ประกอบกับทายาทของผู้เสียชีวิต ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของสำนักงานยุติธรรมจังหวัดชุมพรว่า ต้องรอรายงานการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาการจ่ายเงินเยียวยาตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ซึ่งทายาทได้ยื่นคำขอรับเงินเยียวยาไว้ ณ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดชุมพร เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 ไปแล้วนั้น  และจนถึงขณะนี้ไม่อาจทราบได้ว่า ต้องใช้ระยะเวลาในการรอรายงานการสอบสวนเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ เพราะจนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายและปิดคดีนี้ 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ น.ส.จิณห์วรา  ลูกสาวนายเจื้อง ผู้ตายให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวเสร็จสิ้น จึงเดินขึ้นไปขอพบพ.ต.อ.ฉลาด ปรากฏว่าไม่อยู่ ผู้สื่อข่าวจึงโทรศัพท์เพื่อสอบถามความคืบหน้าคดีดังกล่าวแต่ไม่รับสายพร้อมทั้งติดต่อกลับทางไลน์แจ้งว่าให้ติดต่อพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี แต่ทางด้านพนักงานสอบสวนบอกว่าอยู่ระหว่างติดตามตัวคนร้าย

ลูกสาวผู้ตาย บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เป็นคำตอบเดิมๆที่ไม่อยากฟังแล้วเพราะรู้ว่าต้องตอบมาแบบนี้ ซึ่งทางลูกสาวผู้ตายมองว่าน่าจะคืบหน้ามากกว่านี้ให้คำตอบเหมือนท่องกันมา ส่วนทางผกก.ปฏิเสธที่จะให้พบตนมาเรื่องคดีไม่ได้มาเรื่องส่วนตัว