เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ซึ่งเป็นสัปดาห์สุดท้ายของ “การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29” หรือ “ค็อป29” หรือที่หลายคนเรียกกันจนติดปากว่า “การประชุมโลกร้อน” ซึ่งกำลังมีขึ้น ณ กรุงบากู เมืองหลวงของประเทศอาเซอร์ไบจาน ที่เหล่าบรรดาตัวแทนประเทศและองค์กรต่างๆ กำลังถกกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียดเกี่ยวกับวิกฤติภาวะโลกร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยหนึ่งในสาเหตุปัจจัยที่กล่าวถึงในวงประชุม นอกเหนือจากผลกระทบของการใช้พลังงานจากซากฟอสซิล เช่น น้ำมัน และถ่านหิน เป็นต้นแล้ว ก็ยังมีการพูดถึงการตัดไม้ทำลายป่า อันเป็นหนึ่งในสาเหตุปัจจัยที่ทำให้วิกฤติภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น พร้อมกับส่งผลกระทบทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ เลวร้ายหนักขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคลื่นอากาศร้อน ภัยแล้ง ปรากฏการณ์ไฟป่า อุทกภัยน้ำท่วมสูงฉับพลัน อันรวมไปถึงดินโคลนถล่ม สำหรับ พื้นที่ประเทศที่ถูกน้ำท่วมสูงฉับพลันที่ไม่มีต้นไม้มาปกคลุนพื้นผิวหน้าดิน อาทิเช่น เหตุมหาอุทกภัยที่บังเกิดขึ้นในสเปนที่เพิ่งผ่านพ้นมา เป็นต้น ที่นอกจากถูกน้ำท่วมจนจมบาดาลแล้ว ก็ยังถูกดินโคลนถล่มอย่างย่อยยับในหลายพื้นที่ด้วยกัน
ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะมีการประชุม “ค็อป29” ทางกลุ่มที่เคลื่อนไหวรณรงค์ด้านสภาพภูมิอากาศโลก ก็ได้ปล่อยรายงาน “การประกาศประเมินป่าไม้ 2024 (พ.ศ.2567)” ออกมา เพื่อบอกบ่งชี้ถึงสถานการณ์ป่าไม้ตามผืนป่าของภูมิภาคต่างๆ ของโลกในช่วงที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร
ในรายงานก็ระบุถึง สถานการณ์ของป่าไม้ตามผืนป่าต่างๆ ทั่วโลกในปี 2023 (พ.ศ. 2566) โดยบอกว่า ผืนป่าทั่วโลกถูกทำลายไปเป็นพื้นที่มากกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้าถึงร้อยละ 45 ด้วยกัน หรือเป็นจำนวนมากกว่าที่ประมาณการไว้ถึงเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว และตัวเลขร้อยละ 45 ดังกล่าว ก็มิใช่ว่าจะมากกว่าการประมาณการแบบปีต่อปี แต่เป็นประมาณการที่คาดไว้จนถึงปี 2030 (พ.ศ. 2573) เลยทีเดียว ที่ทางกลุ่มผู้ศึกษาติดตามสถานการณ์ผืนป่าทั่วโลกข้างต้น ต้องการให้ยุติการตัดไม้ทำลายป่าทั่วโลกอีกด้วย
จะเรียกว่า ผืนป่าถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากกว่าที่คาดคิดไว้เป็นอย่างมากก็ว่าได้ ในหลายพื้นที่ของภูมิภาคโลกต่างๆ ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นแอฟริกา เอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้หรือละตินอเมริกา รวมไปถึงหมู่เกาะต่างๆ ในย่านทะเลแคริบเบียน
โดยรายงานการประกาศประเมินป่าไม้ 2024 ระบุว่า ผืนป่าทั่วโลกในช่วงปี 2023 ที่ผ่านมานั้น ถูกทำลายไปคิดเป็นพื้นที่มากถึง 15.7 ล้านเอเคอร์ หรือราวกว่า 39.72 ล้านไร่ ซึ่งเป็นเนื้อที่ที่เกือบๆ เท่ากับ “ประเทศไอร์แลนด์” เลยทีเดียว โดยประเทศไอร์แลนด์ มีเนื้อที่ประมาณกว่า 43.92 ล้านไร่
ทั้งนี้ เนื้อที่ผืนป่าทั่วโลกที่ถูกทำลายไปแล้วดังกล่าว ก็เกินระดับที่มากกว่าที่กลุ่มผู้ศึกษาติดตามสถานการณ์ผืนป่าประมาณการกันไว้ที่ไม่เกิน 10.9 ล้านเอเคอร์ หรือกว่า 27.57 ล้านไร่ด้วยกัน
ทว่า สถานการณ์ความเป็นจริง กลับกลายเป็นว่า ผืนป่าทั่วโลกถูกทำลายไปมากกว่าที่ประมาณการกันไว้ถึงเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว คือ ร้อยละ 45
ในจำนวนผืนป่าที่ถูกทำลายไปอย่างมหาศาลข้างต้นนั้น ปรากฏว่า พื้นที่ใน “เขตร้อน (Tropical)” อันเป็นพื้นที่ของบรรดาประเทศที่อยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรของโลกเรา ถูกจัดให้เป็นพื้นที่ที่ผืนป่าถูกทำลายมากที่สุด โดยคิดเป็นถึงเกือบร้อยละ 96 จำนวนพื้นที่ผืนป่าทั่วโลกที่ถูกทำลายไปทั้งหมดของเมื่อช่วงปี 2023 (พ.ศ. 2566) คือ 39.72 ล้านไร่เลยทีเดียว
ทั้งนี้ เมื่อผืนป่าถูกทำลายลงไปเป็นอย่างมากเช่นนี้ ก็ส่งผลให้สภาพอากาศในพื้นที่ของบรรดาประเทศในเขตร้อนเลวร้ายหนักขึ้นกว่าเดิม อันเป็นผลจากการที่ไม่มีต้นไม้จากผืนป่า มาช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ
โดยรายงาน “การประกาศประเมินป่าไม้ 2024” ระบุว่า พื้นที่ในเขตร้อน หรือเส้นศูนย์สูตร มีจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ ปริมาณมากถึง 3,700 พันล้านเมตริกตันด้วยกัน ในช่วงรอบปี 2023 ที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ ในรายงานยังระบุถึงชื่อประเทศที่ต้องได้รับความห่วงใยเป็นพิเศษจากสถานการณ์ดังกล่าว นั่นคือ โบลิเวีย และอินโดนีเซีย
ในรายงานได้แจ้งเตือนว่า โบลิเวียกำลังเผชิญกับอันตรายจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากผืนป่าที่ถูกทำลายไปเพิ่มมากขึ้น ซึ่งที่โบลิเวียนั้น มีการทำลายผืนป่าไปมากถึงร้อยละ 351 (351 %) ในระหว่างช่วงปี 2015 – 2023 (พ.ศ. 2558 – 2566) และก็ไม่มีสัญญาณที่บ่งชี้ว่า การทำลายผืนป่าในโบลิเวียจะมีทีท่าจะลดลง หรือมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นแต่ประการใด สำหรับ ประเทศที่อยู่ในเขตร้อน (Tropical) ในทวีปอเมริกาใต้ หรือละตินอเมริกาแห่งนั้น
เช่นเดียวกับ สถานการณ์ผืนป่าที่ถูกทำลายในอินโดนีเซีย ที่ปรากฏว่า เดิมทีในระหว่างช่วงปี 2020 – 2022 (พ.ศ. 2563 – 2565) ก็หนักหนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เมื่อปีที่แล้วที่ผ่านมา สถานการณ์ก็สาหัสสากรรจ์ยิ่งกว่าเก่าจนเป็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง สำหรับ สถานการณ์การทำลายผืนป่าในประเทศในเขตศูนย์สูตรของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออุษาคเนย์แห่งนี้
ทั้งนี้ ในการทำลายผืนป่าของอินโดนีเซีย ที่ทวีความรุนแรงหนักขึ้น เมื่อช่วงปีที่แล้ว ก็อาจจะเป็นผลพวงมาจากโครงการย้ายเมืองหลวง จากกรุงจาการ์ตา ไปยังนครหลวงนูซันตารา ทางตะวันออกของเกาะบอร์เนียว ที่แต่เดิมอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผืนป่า จนเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด รวมถึงลิงอุรังอุตัง ลิงจมูกยาว และเสือลายเมฆ เป็นต้น เมื่อก่อสร้างเมืองหลวง แน่นอนว่า ก็ย่อมต้องทำลายผืนป่าที่มีอยู่ดั้งเดิมไป
นอกจากนี้ ผืนป่าได้ถูกทำลายไปเพราะฝีมือมนุษย์เพื่อกิจการต่างๆ แล้ว เช่น การก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคพื้นฐาน อย่างถนนหนทาง เมืองใหม่ การขยายพื้นที่ทางการเกษตรจนต้องถางป่า อุตสาหกรรมตัดไม้เพื่อนำมาเป็นท่อนซุงเพื่อใช้เป็นวัสดุสำหรับสิ่งปลูกสร้างแล้ว ผืนป่าหลายแห่งก็ยังถูกทำลายจากภัยธรรมชาติเอง อันได้แก่ ไฟป่า เช่นที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของภูมิภาคอเมริกาเหนือ และยุโรป ซึ่งผืนป่าที่ถูกทำลายเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยทำให้สถานการณ์ของวิกฤติภาวะโลกร้อนเลวร้ายหนักขึ้นเป็นเงาตามตัว