SPREME ลุยปิดจ๊อบงานภาครัฐปีงบประมาณ 67 ตามแผนที่วางไว้ เปิดกำไรสุทธิ Q3/67 ที่ 68.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 226.49% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน สะท้อนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและเบิกใช้งบประมาณปี 67 ของภาครัฐสัญญาณดี พร้อมโชว์อัตรากำไรขั้นต้น 9 เดือน 67 อยู่ที่ 28.97% ตอกย้ำศักยภาพการบริหารโครงการ พร้อมเดินหน้าเข้าร่วมประมูล Mega Project ตามแผน คาดทยอยปิดดีล M&A ในปี 68 หนุนธุรกิจโตติดปีก

เมื่อวันที่ 15 พ.ย.67 นายภานุวัฒน์ ขันธโมลีกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น จำกัด (มหาชน) (SPREME) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสาร ในฐานะผู้ออกแบบ จัดหาและติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในงานเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร (System Integrator) รวมถึงให้บริการดูแลบำรุงรักษา ซ่อมแซม และให้เช่าระบบคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วง เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 3/2567 มีรายได้รวม 418.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 149.07 ล้านบาท หรือ 55.27% อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 26.40% และมีกำไรสุทธิ 68.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.86 ล้านบาท หรือ 226.49% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนของปี 2567 บริษัทฯมีรายได้รวม 719.69 ล้านบาท กำไรสุทธิ 118.36 ล้านบาท โดยบริษัทสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นจากการดำเนินโครงการ และอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยได้สูงถึง 28.97% และ 16.45% ตามลำดับ สูงขึ้นจากงวดเดียวกันในปี 2566 สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารโครงการ และการจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการเร่งขั้นตอนการใช้งบประมาณปี 2567 ของภาครัฐ หลังจากที่ชะลอตัวมาตลอดช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ งานโครงการที่ส่งมอบและให้บริการแก่ลูกค้าหน่วยงานด้านการศึกษา เป็นไฮไลท์สำคัญของการดำเนินงานตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา โดยมีสัดส่วนสูงถึง 67% ของรายได้รวม

นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ทำสัญญาแล้ว รอรับรู้รายได้หลังส่งมอบ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 ทั้งสิ้น 455.64 ล้านบาท รวมถึงโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการยื่นประมูลรวมมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท  ซึ่งรวมถึงโครงการขนาดใหญ่ หรือ Mega Project ที่คาดว่าจะเริ่มต้นดำเนินโครงการได้ในปี 2568 ส่งผลให้ Backlog เพิ่มขึ้น สนับสนุนผลการดำเนินงานในปี 2568 เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ประธานกรรมการบริหาร SPREME กล่าวอีกว่า คาดว่าในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปีนี้จะสามารถส่งมอบสินค้าและบริการของโครงการและคำสั่งซื้อทั้งหมดได้ตามแผน นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความพร้อมในการเข้าร่วมโครงการขนาดใหญ่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการดำเนินธุรกิจปกติ (organic) ของบริษัทฯอีกด้วย

"บริษัทฯตั้งเป้าหมายผลประกอบการเติบโตเฉลี่ย 10-15% และมุ่งเน้นที่จะเพิ่มอัตราผลกำไรขั้นต้นได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังตั้งเป้าหมายได้งาน โครงการภาครัฐภายใต้ส่วนงานอื่น นอกเหนือจากภาคการศึกษา รวมถึงโครงการขนาดใหญ่ และการเข้าทำดีล M&A จะทยอยเริ่มต้นขึ้นในปี 2568" นายภานุวัฒน์ กล่าวในที่สุด