นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวเร้นกายนานแรมเดือน ที่สุด ทักษิณ ชินวัตร ก็ออกจากถ้ำบ้านจันทร์ส่องหล้า เปิดหน้าสู้ ปะ ฉะ ดะ ตามสไตล์ ในสถานการณ์หวาดเสียวและล่อแหลม
ท่ามกลางเสียงคำรามของ “ฝ่ายแค้น” ที่เขย่าขวัญสั่นประสาทว่ารัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จะอายุสั้น อย่าว่าแต่อยู่จนครบวาระเลย แค่อยู่ให้พ้นสิ้นปีนี้ยังลำบาก ต้องลุ้นกันชนิดวันต่อวัน...
ยิ่งมีคิวที่มีม็อบ 10 กว่าคน ไปตะโกนไล่ “นายกฯอิงค์” ว่า “GET OUT” ขณะเดินทางไปประชุมเอกอัครราชทูตกงสุลใหญ่ และหน่วยงานทีมประเทศไทยประจำภูมิภาคอเมริกา ที่สหรัฐอเมริกา ก็ยิ่งเร้าให้สถานการณ์รัฐบาลเขม็งเกลียว
แม้ “นายกฯอิงค์”จะกล่าวยืนยันกับ วงประชุม เอกอัครราชทูตกงสุลใหญ่ และหน่วยงานทีมประเทศไทยประจำภูมิภาคอเมริกาว่า ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเราจะอยู่จนครบเทอมก็ตาม
แต่ด้วยกระแสรุกไล่ล้อมกรอบทั้งศึกนอกศึกใน ไม่ว่าจะเป็นเกมนิติสงครามด้วยคำร้องที่ปูพรมกว่า 20 เรื่อง ซ้ำด้วยการปลุกกระแสชาตินิยมจากกรณี MOU44
บวกกับแรงสั่นสะเทือนของคลื่นใต้น้ำภายในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะค่ายกลสีน้ำเงินในสภาสูง ที่งัดข้อหนักหน่วงจากเกมนิรโทษกรรม บีบให้พรรคเพื่อไทยยอมถอย ตีตกข้อสังเกตรายงานของคณะกรรมาธิการฯ มาตรา 112 หักดิบกับพรรคประชาชน ลาก “ทักษิณ” เข้าสู่คิลลิ่งโซน จากปมชั้น 14 ใต้กลไกลของคณะกรรมาธิการความมั่นคง ที่มี รังสิมันต์ โรม เป็นหัวหอก
ด้วยสมการ หากเด็ดปีก “พญามังกร”อย่าง “ทักษิณ” ร่วง เมื่อไหร่ “พญาหงส์”อย่าง “อิงค์”แพทองธาร ก็ไปไม่รอด!!
ล่าสุด “ทักษิณ” ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเปิดเผยอีกครั้ง ในฐานะ “ผู้ช่วยหาเสียง” ในการเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี แม้จะเป็นที่ทราบกันดีว่า สนามเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี เป็น “สนามสำคัญ” ที่เป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง นอกจากจะแพ้ไม่ได้แล้ว ชนะน้อยไปก็ยังเสียหน้า
ยิ่งผลสำรวจของ “อุดรโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ระบุว่าประชาชนส่วนใหญ่เลือกผู้สมัครจากพรรคประชาชน 32.6% รองลง คือ พรรคเพื่อไทย 15.2% แต่ยังมีคนไม่ตัดสินใจ 47.9% ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้กดดันให้พรรคเพื่อไทยต้องพึ่งผู้นำจิตวิญญาณ
แต่กระนั้นที่สำคัญการเดินสายลงไปในพื้นที่จ.อุดรธานี ก็เป็นโชว์พลังหรือวัดบารมีว่า “ทักษิณ” ยังมีคนรักและศรัทธา
ด้วยไม่เพียงการแพ้ชนะในสนามเลือกตั้งนี้ แต่เหนืออื่นใด คือ นัยที่ซ่อนอยู่ ของศึกเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี มีความหมายต่อพรรคเพื่อไทย ภายใต้ความหวังในการเป็นผู้นำ “ขั้วอนุรักษ์” สู้กับพรรคประชาชน ทั้งในการเลือกตั้งท้องถิ่นและระดับชาติ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ “ทักษิณ”ปรากฏตัวในงานบุญกฐิน ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในประเด็นร้อนที่เขาอาจกลายเป็นมือ “วางยา” รัฐบาลแพทองธารเสียเอง ก็คือ กรณีคำร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเดิม 6 พรรค กรณีมีพฤติการณ์ครอบงำและยอมให้ครอบงำ จากการดีลพรรคร่วมรัฐบาลที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อหารือถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หลัง “เสี่ยนิด”เศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญสอยตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม
โดยระบุว่า ไม่มีอะไร และย้ำว่า “ไปกินมาม่า มาม่าอร่อย”
เป็นความหวั่นไหวหรือติดตลก แต่นั่นทำให้ สนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหวทางการเมืองออกมาเคลมว่า “การที่นายทักษิณกล่าวเช่นนี้เท่ากับเป็นการยอมรับว่า แกนนำพรรคร่วมไปจริงๆ เมื่อนักการเมือง แกนนำพรรคการเมือง รัฐมนตรีไป ก็เท่ากับเป็นการยอมให้บุคคลซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคเข้าไปครอบงำ ชี้นำ และนายทักษิณซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการครอบงำ ชี้นำ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจกับคำพูดของนายทักษิณ เพราะเขาเป็นคนพูดเช่นนี้มาตลอด และตนเห็นว่ามันไม่ได้เป็นประโยชน์กับการที่ท่านบอกว่าไปกินมาม่า เพราะมันไม่เป็นเหตุผลใดๆ แต่มันจะยิ่งไปเข้าข้อกฎหมายว่าเป็นการครอบงำ ชี้นำ”
ขณะที่ปฏิกิริยาของ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กลับตอบผู้สื่อข่าวว่า ตัวเองกินไวไวทุกวัน
ก่อนจะย้ำว่า “เวลาไปเยี่ยม นายกฯทักษิณ บางทีท่านก็เอามาม่ามาเลี้ยง เพราะบางทีไปตอนบ่ายๆ พอหิวก็เอามาม่ามาเลี้ยง แต่วันที่ 14 ส.ค.ผ่านมา ผมไม่ได้กิน ออกมาก่อน เพราะมีนัด”
และว่า “วันดังกล่าว ไปคุยกับหัวหน้าพรรคทั้งหลาย เพื่อติดตามสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร”
จากวาทะ “มาม่า” กับ “ไวไว” ที่มีการตีความกันว่า สะท้อนความ “ขบเหลี่ยม” “ปีนเกลียว” ลึกๆ ก่อนหน้านี้ภายใต้สถานการณ์ที่ ค่ายสีน้ำเงินนั้นเหมือนจะเป็นต่อ ด้วยมีกระแสข่าวว่าจะถูกกันออกไปเป็นพยาน ในคดีครอบงำพรรคการเมืองจากวงมาม่าที่บ้านจันทร์ส่องหล้า
ที่สำคัญว่ากันว่า พยานปากสำคัญในคดีนี้ คือ สันติ พร้อมพัฒน์ ก็มีข่าวว่าจะย้ายไปซบพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า เรียกว่า อยู่ใน “คอนโทรล”ของค่ายน้ำเงินเสร็จสรรพ
ทว่า ล่าสุด พรรคภูมิใจไทย เหมือนกลับกลายว่ามี “ชนักปักหลัง” แผลเรื่อง “ที่ดินเขากระโดง”ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง หลัง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง คมนาคม สั่งการให้ทำหนังสือคัดค้าน กรมที่ดินไม่ให้เพิกถอนสิทธิพื้นที่เขากระโดง ที่ก็รู้ทั้งรู้ว่าเกี่ยวพันกับคนในตระกูล “ชิดชอบ”
นั่นจึงทำให้ต้องอ่านการเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ” กันอีกครั้ง ด้วยในสถานการณ์ที่เขามีความระมัดระวังตัวเองอย่างสูงและหวาดระแวง หากไม่มีความมั่นใจในสถานการณ์คงไม่มีการออกมาเคลื่อนไหวเช่นนี้
จึงถูกตีความไปว่า คดีความต่างๆอาจอยู่ในแดนบวกหรือไม่ ทำให้เขากลับมาคืนฟอร์มอีกครั้ง หรืออยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบ กับคู่ปรับ ทั้งในและนอกรัฐบาล
โดยเฉพาะสัญญาณที่ สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยชี้ชัดไม่มีคนเพื่อไทยร่วมวง “มาม่า” บ้านจันทร์ส่องหล่า
อีกด้านหนึ่ง ผู้คร่ำหวอดทางการเมืองมองว่า นี่อาจเป็นอาการ “ปากกล้าขาสั่น”หรือไม่ ภายใต้การเมืองที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศ!!