หมายเหตุ : “พล.ท.พงศกร รอดชมภู”  อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แกนนำคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์พิเศษ รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์”  วิเคราะห์เจาะลึกถึงเสถียรภาพรัฐบาล “แพทองธาร 1” จะอยู่สั้นหรือยาว  รวมถึงแนวโน้มการต่อสู้ของพรรคประชาชน ในบทบาท “พรรคฝ่ายค้าน” จะสามารถพลิกกลับมาช่วงชิงโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลในวันหน้าได้หรือไม่  ออกอากาศทางช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2567

-ตอนนี้รัฐบาลกำลังเผชิญกับความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งศึกนอก -ศึกใน

มีหลายคนมาถามผม เรื่องคดีความ จะทำให้รัฐบาล ของนายกฯแพทองธาร ชินวัตร อยู่ครบ4ปีหรือไม่ ผมมองว่า เอาให้ครบสิ้นปีนี้ 2567 เสียก่อน เพราะเหลือเวลาอีกแค่ 2เดือน จากนั้นค่อยคิดเรื่องต่อไป  เนื่องจากคดีความจะมามะรุม มะตุ้ม เดิมผมคาดการณ์เอาไว้ว่า ประมาณเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา  ส่วนต่อมาในเดือนพฤศจิกายนนี้ จังหวะจะมาบรรจบกัน พอดี

ส่วนคดีที่เกี่ยวข้องกับนายกฯแพทองธาร นั้นอาจจะต้องใช้เวลามาก แต่สำหรับคดีความที่จะรวดเร็ว จะเป็นเรื่องของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร  คดีอาญาต่างๆที่จะมาก่อน และยังมีเรื่องที่คุณธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ไปยื่นร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เลย เป็นการยื่นลัด คาดว่าคดีนี้น่าจะมีขึ้นในห้วงสัปดาห์กลางเดือนนี้ เป็นอย่างช้า จะเริ่มเห็นการเคลื่อนไหว แต่จะไปทางไหน ก็ยังไม่รู้  แต่ก็เชื่อว่าจะให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย

คดีความต่างๆ จะทำให้รัฐบาลเสียสมาธิ ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับการที่ใช้องค์กรอิสระเข้ามาตัดสินใจทางการเมือง ต่อนักการเมือง  ผมถือว่าพรรคการเมืองมาจากประชาชน ดังนั้นประชาชนเท่านั้นที่จะคว่ำได้ 

ซึ่งเรื่องนี้ผมมองว่าแทนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญกันได้ เพื่อแก้เรื่องนี้ ก็กลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยเป็นคนปัดตกเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญอีก ผมว่าเป็นการเสียโอกาส ความจริงแล้วเมื่อมีการเลือกตั้งมาแล้ว 2 พรรคใหญ่คือพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล  จับมือกันแก้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 จนจบแล้วไปเลือกตั้งกันใหม่ สิ่งนั้นจะทำให้ปลอดภัย ทุกคนจะสามารถขับเคลื่อนประเทศได้

ในสมัยรัฐบาลอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผมเคยร่าง ตอนที่เป็นกรรมการศึกษาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราร่างเสร็จ ภายใน 2เดือน ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550  จริงๆแล้วไม่ได้ยากอะไรเลย เพียงแต่มุ่งแต่เรื่องใหญ่ๆ ที่มีสาระสำคัญ และบอกทุกอย่างกับประชาชนเท่านั้น

แต่ขณะนี้มาเล่นการเมืองกันเกินไป สุดท้ายก็มาสู่จุดที่เรียกว่าวางยาพิษเอาไว้รอบตัว  จากที่คิดจะวางยาพิษให้คนอื่น แล้วคิดว่าตัวเองจะรอด แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆแล้ว ตัวเองก็ไม่รอด  ก็กลับมาโดนยาพิษกันหมด โดยพรรคก้าวไกล โดนก่อนรายแรก ถูกยุบพรรค และกลายเป็นพรรคประชาชน ในปัจจุบัน ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็ต้องโดนบ้าง ขยับกันไป ผมไม่ได้มองในแง่ร้าย แต่อย่างที่บอกผมไม่เห็นด้วยกับการใช้องค์กรอิสระมาตัดสินกับพรรคการเมือง

มาถึงคำถามที่ว่า แล้วรัฐบาลจะอยู่ต่อไป อย่างไร มีเสถียรภาพอย่างไร  ก็ต้องบอกว่าเป็นอย่างที่เห็น คือทำงานไม่สะดวก

- ที่บอกว่าเหมือนเป็นการวางยาพิษเอาไว้

พิษก็อยู่ในรัฐธรรมนูญ แล้ว ถึงบอกว่าแทนที่คุณจะรื้อทั้งหมด หนีจากพิษไป ก็มองว่าพิษนี้ไปโดนคนอื่น ผมเองยังไม่โดน แต่พอหันมาอีกที ก็โดนเสียแล้ว ดังนั้นแทนที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ควรจะร่วมมือกันในตอนนั้นที่จับมือกัน แล้วมาดูว่าอะไรที่เป็นปัญหาจากการยึดอำนาจของคสช. จะได้หมดเรื่องไป แล้วทุกอย่างจะมาเข้าระบบตามปกติ

แต่กลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทย ไปอยู่ฝั่งอนุรักษ์นิยม จึงกลายว่าเมื่อจะทำอะไรก็ต้องติดขัด กับฝ่ายอนุรักษ์นิยม  เหมือนกับว่ารัฐบาล ไม่มีอำนาจในการแก้ไขอะไร

-เหมือนกับว่าแม้จะมีเสียงข้างมาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้  จะทำอะไรพรรคเพื่อไทยก็เหมือนถูกขวางไปหมด นโยบายเรือธงต่างๆ

พรรคร่วมรัฐบาลลำดับที่ 2 คือพรรคภูมิใจไทย มี 71 เสียง แต่เป็นฝั่งอนุรักษ์นิยม  แต่ในขณะที่กับพรรคก้าวไกลซึ่งเป็นสายเดียวกัน ที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ  แต่ผมไม่ได้บอกว่าพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย จะไปด้วยกัน  เพราะมันคนละสายกันอย่างพรรคเพื่อไทย เป็นกลางฝั่งขวา  ส่วนพรรคก้าวไกล จนมาเป็นพรรคประชาชน เป็นพวกก้าวหน้า  อยู่ฝั่งกลางซ้าย ซึ่งนโยบายมันไปด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว รู้ตั้งแต่แรกแล้ว  แต่ให้มาจับมือชั่วคราวเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ แล้วต่างคนต่างเดิน จึงจะสะดวก แต่นี่มันไม่ใช่ พรรคเพื่อไทย คิดจะไปอยู่กับฝ่ายอนุรักษ์นิยม จึงพังหมดเลย

- ในความเป็นจริงแล้ว คนมีความเข้าใจว่าการตั้งรัฐบาลแพทองธาร 1 ขึ้นมานั้นเพื่อที่จะเป็นตัวแทนของฝั่งอนุรักษ์ เพื่อที่จะมาสู้กับพรรคก้าวไกล พรรคประชาชน แต่เมื่อดูอาการแล้ว กลายเป็นว่ารัฐบาลอาจจะไปเร็วขึ้น ดังนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงถ่ายอำนาจไปสู่พรรคการเมืองอื่นหรือไม่ เช่นเปลี่ยนแค่ตัวนายกฯ หรือจะยุบสภาฯ

เวลานี้มีปัญหาเรื่องคดีความ หากคดีไปขึ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วมีคำวินิจฉัยออกมาว่าผิด หรือคดีที่ไปขึ้นศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งจะเป็นคดีอาญา ผมเชื่อว่าทางฝ่ายพรรคเพื่อไทย คงไม่ต้องการให้นายกฯแพทองธาร ต้องได้รับคดีโดยไม่จำเป็น  ปกตินักการเมืองที่เป็นคนรุ่นใหม่ แล้วมาได้ไม่นาน แต่มีคดีติดตัว ไปเป็นสิบๆปี มันคุ้มหรือไม่ ซึ่งวิธีการที่จะไม่คุ้ม คือการยุบสภาฯ เพื่อที่จะทำให้นายกฯแพทองธาร ไม่ต้องโดนคดีต่อ 

เมื่อมีการยุบสภาฯ อะไรที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ก็จะไม่นำขึ้นมาพิจารณาต่อ แต่หากเป็นคดีอาญา ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่โดยพื้นฐานแล้ว มันสามารถที่จะหนีได้ด้วยการยุบสภาฯ ซึ่งตอนนี้มีเรื่องที่มีการยื่นคำร้องกว่า 10 เรื่อง แต่หากโดนคดีแค่เรื่องเดียว ก็ต้องไปกันทั้งหมด  ซึ่งตอนนี้คดีมันมีมาก เท่าที่จำได้ประมาณ 15-16 เรื่อง

-คุณทักษิณ ก่อนหน้านี้ที่เก็บตัวเงียบ แต่ล่าสุดเริ่มขยับด้วยการมีโปรแกรมเตรียมเดินสายหาเสียงช่วยผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี สัญญาณตรงนี้เป็นอย่างไร

ท่านทักษิณ ก็อาจจะไปช่วยเรื่องเลือกตั้ง ต้องดูว่าท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยหาเสียงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่จะมีปัญหาตามมา อย่างกรณีการเลือกตั้งนายกอบจ.ปทุมธานี ที่ผ่านมา เหมือนเป็นการตายน้ำตื้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิด หากพลาดก็จะเกิดปัญหาตามมา

-มีการจับตาการเคลื่อนไหวของทักษิณ ครั้งนี้จะเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองหรือไม่ มีข่าวลือถึงขนาดที่ว่าจะขอออกไปนอกประเทศอีก ดังนั้นเมื่อคุณทักษิณ ออกมาแบบนี้จะทำให้คนที่สนับสนุนอยู่รู้สึกใจชื่นขึ้นมาได้หรือไม่ ว่าแนวโน้มคดีความต่างๆ อาจจะออกมาในทางที่ดี

อันนี้คือทฤษฎีชนชั้นนำ คือการใช้เครือข่ายคนรู้จักคุยกัน  หากคุยกันได้ ก็ผ่านฉลุย แต่วิธีการแบบนี้ต้องอิงระบบเหมือนกัน เพราะบางครั้งการไปขอให้คนอื่นช่วยเหลือ คนๆนั้นก็ต้องระมัดระวังเรื่องของตัวเองด้วยเช่นกัน  แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคุณทักษิณอาจรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องคดีการครอบงำพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาล คงเชื่อว่าอาจจะหลุด  ท่านจึงออกมาโลดแล่น  ซึ่งก็ต้องว่ากันไปตามเกมการเมือง  คนที่เชียร์คุณทักษิณ ก็อาจจะรู้สึกว่าปลอดภัยขึ้น แต่อย่าประมาท  เพราะหากพลาดขึ้นมาอีกรอบ ก็เสร็จเหมือนกัน

-หากมองในแง่การเดินยุทธศาสตร์ทางการเมือง ถือว่าพรรคเพื่อไทย จับขั้วอำนาจตั้งรัฐบาลผิดหรือไม่  หรือคุณทักษิณ ตัดสินใจผิดพลาดหรือไม่

ในทิศทาง ทางการเมืองนั้นต้องถือว่าพรรคเพื่อไทย อยู่ในทางขวา แต่ในการที่จะจับขั้วกับพรรคภูมิใจไทย ,รวมไทยสร้างชาติ,พลังประชารัฐ น่าจะเป็นเรื่องปกติ เป็นระบบการเมืองแบบเก่า เป็นบ้านเก่า เป็นบ้านใหญ่ แล้วใช้การเมืองในลักษณะผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และจะต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่นมาดูแลพรรคการเมือง ถือเป็นเรื่องปกติของระบบการเมืองนี้

ขณะที่ทางฝ่ายของพรรคอนาคตใหม่ มาถึงพรรคก้าวไกลแลพะพรรคประชาชน เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะมีฐานของคนกลุ่มนี้ แต่จะเป็นฐานของคนทำงาน คนชั้นกลาง คนที่อยู่ในเมือง เหมือนกับพรรคเดโมแครต ที่เพิ่งแพ้การเลือกตั้งชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์ มาจากพรรครีพับลิกัน มีลักษณะของชนบท มันแยกฝั่ง และนโยบายก็จะต่างกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พรรคเพื่อไทยจะอยู่ตรงนั้น เพียงแต่อย่างที่ผมบอกเอาไว้ ถ้าพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลรวมกันตั้งแต่ครั้งแรก  แม้จะรู้ว่าต่อไปต้องแยกทางกัน แต่ก็ขอเวลาแก้รัฐธรรมนูญแล้วต่างคนต่างไป ก็จะเป็นเรื่องที่ดี

ก่อนสามปีที่จะมีการเลือกตั้ง 2566 มีกรรมการบริหารพรรคมาคุยกับผมว่า ให้เตรียมตัวลงพื้นที่หาเสียงให้ดี  เพราะต่อไปจะได้เป็นฝ่ายค้าน  ผมยังถามว่า จะไม่ให้พรรคก้าวไกล เป็นรัฐบาลเลยหรือ เขาก็บอกว่าเป็นฝ่ายค้านไป  ต่อไปค่อยเป็นรัฐบาล  จากนั้นเมื่อเลือกตั้งแล้วพรรคก้าวไกล ได้สส.มาเป็นที่1 ผมก็ดีใจ คนที่มาคุยกับผมก็ยังยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องเป็นฝ่ายค้านอยู่ดี สุดท้าย ก็เป็นฝ่านค้านจริงๆ ซึ่งมันเป็นเทรนด์  เมื่อประชาชนเข้าใจว่า อะไรที่มันแยกกันชัดเจนว่า ระหว่างนโยบายกับอุดมการณ์เขาจะได้แยกถูก ครั้งต่อไป อะไรที่เป็นประโยชน์ ประชาชนก็จะเลือกเอง

-สำหรับพรรคประชาชน ยังมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ไม่สามารถชนะได้ในการเลือกตั้ง ในหลายสนามที่ผ่านมาทั้งสนามเลือกตั้งท้องถิ่น และการเลือกตั้งซ่อมสส.พิษณุโลก

ค่อนข้างชัดเจน หากพูดภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่าเป็นลักษณะ 10 รุม 1 พรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลทั้งหมดรุมพรรคเดียว ทั้งที่จริงๆแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลเหล่านั้นก็เป็นพวกขวาทั้งหมด เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่ผมเองก็ยังดีใจ แม้ในพื้นที่เลือกตั้งซ่อมสส.พิษณุโลก พบว่าเสียงตกไปประมาณ 1.2 หมื่นเสียง นี่คือความเป็นจริง ตกจากสิ่งที่เราควรได้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังไปแพ้ให้คนที่ควรจะได้ แบบสูสี แสดงว่าคะแนนนิยมเดิมที่เป็นฐานปกติ โดยที่ไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า  ไม่มีคนที่ทำงานจากกทม.เดินทางกลับไปเลือกตั้ง ผมก็ถือว่าทุกอย่างคงที่

ดังนั้นเรามั่นใจว่า เมื่อมีการเลือกตั้งใหญ่ อย่างไรเสียงของพรรคประชาชนก็ต้องมา ส่วนจะมามากหรือน้อย อีกเรื่องหนึ่ง อยู่ที่ว่าจังหวะนั้นคุณจะเล่นเป็นหรือไม่ แต่ในส่วนของคะแนนเสียงพื้นฐานที่ยังเหนียวแน่น ยังเหมือนเดิม

ส่วนการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ก็เหมือนกับการเลือกตั้งซ่อม คือเป็นการรุมพรรคประชาชน แบบ 10 รุม 1 ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่เข้าใจว่าท้องถิ่นมีความสำคัญ มากกว่าการเลือกตั้งระดับชาติ เพราะงบประมาณที่ลงไปยังท้องถิ่น จะถูกใช้กับประชาชนโดยตรง

เราจะพบว่ามีความตื่นตัวในเรื่องของการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ซึ่งเดิมที่ผ่านมาจะเห็นว่าเงียบมาก แต่ตอนนี้คนเริ่มสนใจมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี และจะเป็นแนวโน้มที่ดีกับพรรคประชาชน

ผมขอฝากไปยังพรรคประชาชนว่าต้องให้ความสนใจ ในเรื่องตัวแทนของจังหวัด  เรื่องของสาขาพรรค ต้องทำงานให้มาก แต่สส.พรรคก็ลงพื้นที่เยอะ ปกติสส.พรรคนี้ก็ลงพื้นที่อยู่แล้ว แต่ต้องให้เยอะที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะเรื่องนี้ อย่าคิดว่าจะชนะคราวหน้าแต่ต้องคิดว่า ต้องชนะอีก 6-7 ปีข้างหน้า โดยต้องวางพื้นฐานให้ประชาชนรู้ว่าอำนาจอยู่ที่เขา อย่าเอาอำนาจไปให้คนอื่น  เวลานี้นักการเมืองเข้าใจว่าประชาชนเป็นทรัพย์สินในมือ เพื่อนำไปต่อรองทางการเมือง กับผู้ที่มีอำนาจ

ซึ่งจริงๆแล้วต้องกลับกัน ประชาชนต้องคิดว่าสส.เป็นของเขา ต้องการให้สส.ไปทำเรื่องนั้น เรื่องนี้  ประชาชนต้องเป็นเจ้าของสส .จึงจะถูกต้อง ประชาชนยังมองว่าอิทธิพลต่างๆยังมีอยู่ เรื่องนี้ต้องค่อยๆเบียดเข้าไป จนกว่าจะชนะ ต้องใช้เวลา แนวโน้มตอนนี้ดีขึ้นแล้ว สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆเปลี่ยนสังคมไทยไปเอง