ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

“ความรัก” บ้างหมายมุ่งเป็นอุดมการณ์ บ้างว่าเป็นเพียงอารมณ์อย่างหนึ่ง บ้างจริงจังและจมปลักอยู่กับมัน บ้างปล่อยวางและให้มันล่องลอยไป

ณีรณัชชาเป็นคนที่เรียกได้ว่า “หน้าตาดี” แม้จะอายุย่างใกล้ห้าสิบก็ยังดูเปล่งปลั่งสดใสกว่าผู้หญิงในวัยเดียวกัน เพื่อน ๆ ของเธอบอกว่าเธอหน้าตาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยังสาว ๆ เรียกว่าเวลาผ่านไป รูปร่างหน้าตาของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย แถมยังดูสวยขึ้นกว่าเดิม แบบที่เพื่อนบางคนแซวว่า “สวยขึ้นตามอายุ” แต่บางคนก็บอกว่าอาจจะเป็นเพราะเธอแต่งตัวเก่งและรักษารูปร่างสุขภาพอนามัยดี ยิ่งในสมัยนี้ที่มีทั้งอาหารเสริม ศัลยกรรม และสปาเสริมสวย คนที่ชอบในทางเสริมความงามนี้จะทำอะไรก็ทำได้ แต่พอผมได้คุยกับเธอ จึงพบคำตอบว่าประเด็นกระแนะกระแหนเหล่านั้นไม่ได้มีความจริงเลย

ณีรณัชชาเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานบุคคลและเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผมในช่วงสั้น ๆ ตอนที่ผมไปดูแลงานทรัพยากรบุคคลของมหาวิทยาลัย เธอเป็นคนร่าเริงแจ่มใสและคุยเก่ง ชีวิตเหมือนจะมีความสุขมาก ๆ อยู่ทุกวัน คนที่ชอบกระแนะกระแหนมักจะบอกว่า คงเพราะเธอเป็นโสด ไม่มีพันธะและปัญหาครอบครัวผูกพัน วันหนึ่งผมก็เลยถามเธอตรง ๆ ว่า ที่เธอไม่มีความทุกข์เป็นเพราะเธอไม่มีครอบครัวใช่ไหม เธอตอบทันทีว่า “ไม่ใช่” เธออยากมีครอบครัว มีสามี มีลูกสัก 2-3 คน แต่ยังไม่เจอใครที่ถูกใจ เธอก็เลยต้องปลอบใจตัวเอง ด้วยการทำจิตใจให้แจ่มใสร่าเริง ไม่จมปลักอยู่ในความเงียบเหงาว้าเหว่ เพราะถ้าเธอเป็นคนอมทุกข์ก็จะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ก็จะยิ่งทำให้เธอมีความทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก

ผมต้องเจอกับณีรณัชชาเกือบทุกสัปดาห์ เพราะต้องประชุมเกี่ยวกับบุคลากรอยู่เป็นประจำ โดยณีรณัชชาเป็นเจ้าหน้าที่จัดเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ประกอบวาระการประชุม เมื่อมีปัญหาหรือข้อสงสัยที่ผมต้องถาม ผมก็ต้องขอเอกสารต่าง ๆ จากเธออยู่ทุกครั้ง ระหว่างนั้นก็พอมีเวลาจะได้คุยถึงเรื่องส่วนตัว ซึ่งผมถือเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องคุยปัญหากับลูกน้อง เมื่อเวลาที่มีคนพูดว่าลูกน้องคนนั้นคนนี้มีปัญหาต่าง ๆ ทว่าเมื่อได้คุยกับเธอแล้ว ก็ไม่ได้พบว่าเธอมีปัญหาอย่างที่หลาย ๆ คนนินทากัน แต่กลับได้ “ข้อคิด” ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ปรัชญา” ของการมีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

เธอเติบโตมาในครอบครัวที่อัตคัดขัดสน ความจริงแม่ของเธอมาจากครอบครัวที่มีฐานะและชาติตระกูลดีพอสมควร แต่แม่เป็นคนบูชารักแท้ ไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กัน เพียงแต่ครอบครัวต้องการให้แต่งงานกันแบบที่เรียกว่า “คลุมถุงชน” แม่ของเธอมีคนรักอยู่แล้ว ซึ่งก็คือพ่อของเธอที่เป็นเสมียนบริษัทเล็ก ๆ แล้วแม่ก็หนีมาอยู่กินกับพ่อ โดยที่ตากับยายก็ไม่ได้ออกมาตาม แม่เองก็ไม่เคยคิดกลับไปงอนง้อหรือแบ่งสมบัติมาเลี้ยงดูลูก ๆ ที่มีอยู่ 2 คน คือตัวเธอกับพี่สาว โดยแม่ไม่ได้ไปทำงานอะไร เพราะพ่อไม่ยอมให้ไปทำงานให้ลำบาก แต่แม่บอกว่าพ่อกลัวทางบ้านของแม่จะมาตามตัวกลับไป พ่อจึงไม่ยอมให้แม่ออกไปไหนมาไหน แต่แม่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร พ่อให้ดูแลแต่เรื่องเลี้ยงลูกและงานบ้าน ส่วนเรื่องรายจ่ายทั้งหมดพ่อเป็นคนหามาให้ ซึ่งก็ต้องกระเบียดกระเสียนกันแบบเดือนชนเดือน และไม่ได้มีสวัสดิการช่วยเรื่องการเรียนให้ลูกหรือค่ารักษาพยาบาลให้กับคนในครอบครัวแบบคนที่เขารับราชการ กระนั้นพ่อกับแม่ก็เลี้ยงลูกทั้งสองคนจนจบมหาวิทยาลัย และกว่าที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองก็เป็นปีที่เธอจบมหาวิทยาลัย ด้วยการอดออมผ่อนบ้านอยู่กว่า 20 ปี แต่น่าเศร้าว่าพ่อกับแม่ได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปพร้อมกันในปีต่อมา หลังจากที่พี่สาวของเธอก็เพิ่งจะแต่งงานออกไปอยู่กับสามี เธอจึงต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลาเกือบ 30 ปีนี่แล้ว

พ่อกับแม่คือ “ไอดอล” ในเรื่องความรักของเธอ ตั้งแต่ที่เธอจำความได้ พ่อกับแม่ไม่เคยห่างกันเลย เว้นแต่เวลาที่พ่อไปทำงาน แต่ถ้าอยู่ที่บ้านทั้งเช้าและเย็นหรือวันหยุดที่พ่อไม่ต้องไปทำงานนั้น ทั้งสองคนก็จะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ตอนนั้นเธอมีอายุราว 5 ขวบ พี่สาวก็ 7 ขวบ ในบ้านมีกันแค่ 4 คน แต่ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ พ่อแม่เล่นกับลูกเหมือนเป็นเด็ก ๆ ไปด้วย เพราะแถวบ้านไม่ค่อยจะมีเด็กอายุใกล้ ๆ กัน และเธอกับพี่สาวก็ไม่ค่อยได้ออกไปนอกบ้าน พ่อกับแม่จึงเป็นเหมือนเพื่อนเล่นของลูกทั้งสองคน รวมทั้งการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งสี่คนก็ทำด้วยกัน ที่ทำกันมากก็คือนั่งดูทีวีและทานขนม ตลอดจนทำกับข้าวในทุกมื้อ โดยมีแม่เป็นแม่ครัวหลัก บ้านของเธอเป็นทาวน์เฮาส์เล็ก ๆ ที่บ้านไม่มีรถ ช่องจอดรถแคบ ๆ หน้าบ้านจึงเป็นที่วางกระถางดอกไม้หลายสิบกระถาง ตรงมุมข้างในที่ติดกับครัวก็เป็นที่วางกรงเลี้ยงหมา ซึ่งตั้งแต่เล็กจนโตบ้านของเธอก็ไม่เคยขาดหมาเลย บ้านของเธอจึงค่อนข้างอบอุ่น และดูเหมือนจะสมบูรณ์พูนสุขด้วยความรัก

พ่อกับแม่ไม่เคยทะเลาะกัน มีบ้างที่เธอเคยเห็นทั้งคู่นั่งกันคนละมุมโต๊ะเงียบ ๆ นั่นคือทั้งคู่กำลังมีปัญหาอะไรสักอย่าง พอเธอโตมาก็ได้ยินแต่เพียงว่าแม่อยากไปโน่นไปนี่ แต่พ่อห้ามไม่ให้ไปอยู่โดยตลอด อย่างดีก็ไปดูหนังตามโรงหนังในห้าง หรือไปวัดทำบุญในวันเกิดของคนในบ้าน ส่วนที่จะได้ไปต่างจังหวัดไปค้างตามโรงแรมหรือรีสอร์ตนั้น เหมือนว่าจะไม่เคยได้ไปเลย ซึ่งเธอก็มาได้คิดในตอนที่เธอเรียนชั้นมัธยม เมื่อเวลาที่เธอจะต้องไปทัศนศึกษากับเพื่อน ๆ ที่พ่อของเธอต้องแอบเอาเงินมาให้เป็นค่าใช้จ่าย แล้วบอกว่าอย่าบอกให้แม่รู้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ นั่นก็คือพ่อไม่มีเงินพอที่จะพาคนในบ้านทั้งสี่ไปเที่ยวต่างจังหวัด แต่พ่อมักจะแก้ตัวให้ขำ ๆ ว่า “เราไม่มีรถขับไปเที่ยว อายเค้า” ครั้งหนึ่งเธอเคยถามแม่ว่าอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดทำไม แม่ก็ตอบหน้าตาขึงขังว่า อยากแต่งตัวสวย ๆ ออกไปดูโลกภายนอกบ้าง ซึ่งแม่ก็อาจจะไม่รู้ว่าชุดสวย ๆ ที่แม่มีใส่อยู่บ้างนั้น พ่อได้ใช้ความพยายามในการเก็บออมเพียงไร กระนั้นแม่ก็ประชดด้วยการไม่ยอมใส่ชุดสวย ๆ เหล่านั้น โดยบอกว่าไม่รู้จะใส่ไปอวดใคร ครั้นพอเธอเป็นสาวเธอจึงรู้ว่า “ความอยากอวดความสวย” ของผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องปกติทั่วไป โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีความสวยจะอวด อย่างเช่นแม่ของเธอนั้นด้วยคนหนึ่ง

ความปกติอีกอย่างหนึ่งของผู้หญิงที่เป็นภรรยาก็คือ “ความหึงหวง” แม้ว่าพ่อของเธอจะทุ่มเทให้กับแม่ทั้งเรื่องเวลาและความรักมากมายอย่างที่สุด แต่เธอก็เคยเห็นแม่แสดงอาการหงุดหงิดสงสัยในตัวพ่ออยู่บ้าง บางทีก็รุนแรงถึงขั้นไม่คุยกันเป็นครึ่งค่อนวัน วันหนึ่งในตอนที่เป็นสาวแล้วได้คุยกับพ่อเรื่องผู้ชาย และได้ถามที่ได้เคยเห็นแม่แสดงอาการงอนและโกรธพ่ออยู่บ้าง ว่าเป็นเพราะอะไร พ่อบอกว่าคงเป็นเพราะแม่เริ่มขาดความมั่นใจในตัวเอง เช่น อายุเริ่มมากขึ้น รูปร่างหน้าตาอาจเปลี่ยนแปลงไป แล้วยิ่งพ่อเป็นคนเดียวที่ได้ออกไปทำโน่นทำนี่นอกบ้าน ในขณะที่แม่ “จมอยู่ก้นครัว” ก็อาจจะทำให้เกิดความคิดวุ่นวายฟุ้งซ่าน

บางทีบทเรียนที่เธอได้เห็นจากพ่อแม่คือสิ่งที่ทำให้เธอ “รักสวยรักงาม” และพยายามที่จะทำตัวให้มีคุณค่า ซึ่งก็ต้องเริ่มจากการที่ให้ความรักแก่ตัวเองนี่เอง