ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
...*สมดุลแห่งชีวิตต่อการทำงานในทุกวันนี้..ล้วนแต่มีนัยที่เปี่ยมเต็มไปด้วยความทุกข์..บนวิถีของ “คนรุ่นใหม่”..จิตวิญญาณของพวกเขาแห้งโหย และถอยห่างออกไปจากนิยามของความสุข..มากขึ้นทุกที..อะไรคือแก่นแกนแห่งสำนึกอันโรยร่วงนี้? คำตอบย่อมหนีไม่พ้น..วิถีแห่งจริตอันเกี่ยวเนื่องกับผัสสะของหัวใจที่..ที่เกิดขึ้นอย่างห่างไกลและเดียวดายจากความรู้สึกรัก ..ยิ่งงานที่ต้องทำ ณ องค์กรต่างๆ..เต็มไปด้วยระเบียบหลักเกณฑ์ตายตัว ไร้ความยืดหยุ่น ก็ยิ่งทำให้สัมพันธภาพทางใจแห่งความรู้สึก ของผู้ทำงานในฐานะพนักงานต้องหมุนคว้าง ดิ่งลึกลงสู่ที่ต่ำในทุกเมื่อเชื่อวัน..
เสน่หานานา..จากการทำงานเหือดหาย และไม่อาจโปรยปรายความสุขที่มีพลังขับเคลื่อนออกมาได้..นอกจากจะบ่มเพาะนัยกลัดหนองของอารมณ์..ให้ทวีความทุกข์เศร้าเพิ่มมากยิ่งขึ้น..เป็นหายนะแห่งองค์กร ที่ต้องย้ำความเป็นชีวิตให้ซวดเซต่อความเชื่อมั่นและดำรงอยู่..จนไม่เหลือปณิธานแห่งเจตจำในคุณค่าตอบแทน..แห่งผลของการทำงานเอาไว้..นอกเหนือไปจากเสียงบ่นว่าที่เสียดแทง ตลอดจนเสียงผรุสวาทอันหดหู่..เศร้าตรมเพียงนั้น..!*
“เหนื่อยจัง..ไม่ไปทำงานก็ไม่ได้ จะลาออกก็ไม่ได้/เช้านี้ก็เหมือนเดิม..ไม่อยากตื่นมาทำงานเลย/เมื่อไหร่..ถึงจะรู้สึกมั่นคงนะ/..งานที่เหมาะกับฉันมีอยู่จริงด้วยหรือ?”
เหล่านี้คือคำถามแห่งวิกฤต ที่ประเดประดังเข้าใส่ชีวิต..จนสถานะของคนรุ่นใหม่ต้องซวนเซ และยาจะกหาทางให้..เลี่ยงพ้นจากความกังวลได้โดยง่าย ..
“ความกังวล ยังคงอยู่ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด..เพราะเรามักตั้งคำถามอยู่เสมอว่า..ชีวิตแบไหนกันแน่ที่เหมาะกับตัวเรา และออกไปเผชิญหน้ากับมันครั้งแล้วครั้งเล่า..
ดังนั้น ..การยอมรับในสภาวะความเครียดที่ว่า.. และหาทางปรองดองกับความวิตกกังวลในใจจึงเป็นการบ้านจำเป็นของ “พนักงานออฟฟิศสมัยนี้ ..เพื่อออกไปวาดฝันถึงเรื่องราวของวันนี้และพรุ่งนี้อย่างสบายใจมากขึ้น...แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม”
นี่คือ ..รสสัมผัสที่เคลือบแคลงใจอย่างถึงที่สุดของคนรุ่นใหม่..ต่อบริบทของการทำงานที่ไม่ให้ความหวังหรือดึงดูดใจอะไรเลย..ที่ปรากฏเป็นสาระเนื้อหาที่เสียดแทงกระบวนการที่แท้ของการมีชีวิตอยู่..จนยากจะปฏิเสธ..
“ยังไม่ทันเข้างาน...ก็อยากกลับบ้านเสียแล้ว” คือหนังสือที่สะท้อน ทัศนียภาพทางความคิดที่น่าพะอืดพะอมนี้..อย่างแสนสาหัส เป็นงานเขียนที่เปิดเปลือยถึงเนื้อในแห่งชีวิตที่ยากจะปฏิเสธและเลี่ยงพ้น..มันคือสำนึกชีวิตที่..ตอกย้ำตัวตนแห่งชีวิตจนขาดสะบั้น..
“ไม่ไหวแล้ว...ได้งานตามที่ฝันแต่ทำไมยังเหนื่อย..จะเอาไงดีชีวิต..ลาออกดีไหม???..แต่หนึ่งก้าววันนี้จะดีกว่าเดิม..?”
“ว็อนจีซู” เขียนหนังสือเล่มนี้..จากประสบการณ์อันเข้มข้นของเธอ ภาวะแห่งการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างทุกข์กหรือสุขในการทำงาน นับเป็นโครงสร้างแห่งสนามรบทางความรู้สึกของชีวิตที่ต้องเผชิญ อย่างไม่อาจที่จะป้องกันตัวเองได้...เธอไม่อาจหาเหตุผลที่เชื่อมั่นมาค้ำยันตนเองให้คงอยู่..อย่างยั่งยืนและถาวร..ได้เลย..
“หนังสือนี้..เรียกได้ว่าเป็นการหาเหตุผลมาเข้าข้างตนเองอย่างน่าเวทนา..มันคือคำตอบอย่างจริงใจสำหรับคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาไม่สิ้นสุด..และสร้างความทุกข์ทรมานให้ฉันตั้งแต่แขวนป้ายชื่อพนักงานออฟฟิศ..ฉันพยายามแสดงให้เห็นว่า..มันต้องโอเค “ทั้งที่ในใจยังคงไม่สบายใจและหวาดกลัว..ช่างเป็นความพยายามที่น่าสงสาร”
..โศกนาฏกรรมทางความรู้สึก..เกิดขึ้นมาอย่างยากจะคาดเดาถึงที่มาที่ไป กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ! “ความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งกับงาน” อันแสนจะเคลือบแคลง ก็โหมกระหน่ำเข้าครอบงำเสียแล้ว มันคือความรู้สึกสดๆที่จริงจังต่อการทำลายพลังใจแห่งมวลความหวัง ที่ไม่อาจป้องกันการรุกรานอันหน่วงหนักนี้ได้..นับจากจุดเริ่มต้นแห่งงานและตลอดไป...
“สมัยเป็นพนักงานใหม่ ฉันรู้สึกเศร้าทุกเช้า..แต่ที่ยิ่งเศร้ายิ่งกว่าคือไม่มีเวลาให้สั่งเศร้า..ทั้งทางด่วนที่ชอบปิดซ่อมทุกครั้งเวลาเร่งด่วน..หรือเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทั้งที่ยังไม่ใช่เวลาเริ่มงาน...ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้ฉันเศร้าสุดๆ ก็คือไม่ได้มีแค่รถฉันคนเดียว แต่ยังมีรถอีกจำนวนมาก ที่ติดอยู่บนทางด่วนอันคับแคบ พร้อมคนในรถที่นั่งเศร้าอยู่เหมือนกัน..ไม่ว่าจะออกจากบ้านเช้าแค่ไหน..แต่บนทางด่วนที่มืดสลัว ก็ยังมีรถอีกหลายคันที่เปิดไฟหน้า..พร้อมออกเดินทางไปยังที่ใดสักแห่ง..ในความมืดมิด..”
..นั่นจึงเพราะสถานการณ์ ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายอันชวนอึดอัด และบั่นทอนศักยภาพที่เป็นความสุขของชีวิต จนกลายสภาพเหลือเพียงความทดท้อแห่งการก้าวย่าง..ยิ่งเข้าใกล้..ยิ่งเข้าใจในเหตุแห่งอุบัติการณ์ที่ทำลายความมั่นใจในชีวิตมากเท่าไหร่ สัญชาตญาณแห่งการรับรู้ของชีวิต ..ก็ยิ่งสร้างเครื่องหมายในนัยความหมายที่เป็นลบ..เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆประหนึ่งบาดแผล..ที่ขยายรอยแผลได้เองอย่างไม่จบสิ้น..
“คุณอาจไม่เชื่อก็ได้ว่า..แม้ผ่านมาหลายปีแล้ว..เช้าวันนี้ฉันก็ยังคงเศร้าอยู่..แม้ไม่ต้องเร่งรีบบนท้องถนนยามรุ่งสาง..หรือเปลี่ยนที่ทำงานมากี่ครั้ง การเดินทางไปทำงานก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับฉันเลย..ทั้งที่สมัยก่อนเราเคยวาดฝันว่า..*...ว้าว..วันนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ..ตื่นเต้นจังเลย*
..การเดินทางไปทำงานที่แสนเพลิดเพลินนั้น..คงไม่มีทางเกิดขึ้นในชีวิตจริง..ได้เลยอีกต่อไป!..
หลังจากทำงานได้ 2 ปี “ว็อนจีซู” ก็รู้สึกถึงความเหนื่อยยาก เธอต้องหันไปกินกล้วยแทนข้าวระหว่างการเคว้งคว้างค้นหา “งานที่ทำให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดในชีวิต” อีกครั้ง..แล้วเธอก็สะดุดตากับบทสัมภาษณ์นักข่าวหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง..ผู้สัมภาษณ์ได้ถามว่า.. “ทำไมถึงยังพอใจทำอาชีพนักข่าว..ทั้งๆที่ต้องทำงานล่วงเวลาบ่อยครั้ง แถมเงินเดือนยังน้อยมากจนแทบจะเรียกได้ว่า.. “ไม่พอกิน” และ เขาก็ได้ตอบว่า “....คนทำงานส่วนใหญ่มักมีความสุขแค่เดือนละหนึ่งวันที่เงินเดือนออกใช่ไหมคะรับ?..แต่ผมเป็นทุกข์แค่วันเดียวเลย..”
...ชีวิตที่ไม่มีความสุขแค่เดือนละวันมันเป็นอย่างไรกันนะ..ตลอดสามสิบวันในเดือนหนึ่ง.. “ว็อนจีซู” ได้ระบุว่า..เธอต้องกังวลในเรื่องของพรุ่งนี้ทุกวัน ทั้งที่เพิ่งเลิกงานกลับบ้านตอนดึก..มันหดหู่ใจเหมือนเช่นเคยๆ..
หลอกกันอีกแล้วสินะ..ดูสิมีคนบรรลุเป้าหมายสูงสุดในชีวิต..ในที่ทำงานเหมือนกัน..ก็ใช่..มันไม่มีอะไรจะสมบูรณ์แบบหรอก ตราบใดที่เรายังทำงานเพื่อแลกเงินของคนอื่นไปหมดทุกอย่าง..แต่ถ้าเกิดตัดเรื่องแย่ๆออกไป..ก็ยังมีพนักงานออฟฟิศที่บอกว่ามีความสุขอยู่..
“ฉันเองก็อยากเชื่อเหมือนกันว่า..จะได้มีชีวิตแบบนั้นบ้าง..แต่ไม่รู้จะค้นหามันได้ที่ไหน?”
อย่างไรก็ตาม..คนเราแต่ละคน..จะให้คุณค่ากับงานแตกต่างกันไป..และสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับบางคนอาจไร้ค่าสำหรับใครอีกคน..ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน การเลื่อนตำแหน่ง การพัฒนาทักษะ บรรยากาศในบริษัท..สิ่งเหล่านี้อาจทำให้หลายคนกังวล..แม้จะต่างกันด้วยเหตุผล แต่ทุกคนที่หางานทำ ล้วนรู้ดีว่าชีวิตหลังได้งานมานั้น เหนื่อยยากกว่าที่คาดไว้มาก..นั่นรวมถึงความเป็นจริงต่างๆที่เราไม่มีวันได้รู้กระทั่ง..เข้ามาทำงานที่บริษัท ..
“สิ่งที่ฉัน..เคยมองว่าสำคัญคืองานที่ทำทุกเช้านั้น ควรมีความหมายต่อชีวิต..รวมถีงต้องได้เรียนรู้และลงมือทำ..บางทีฉันอาจเลือกฟังคำที่ฉันอยากได้ยิน..ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของรุ่นพี่ที่ว่าใจเต้นแรงทุกเช้า.. หรือนักข่าวที่บอกว่าเป็นทุกข์แค่เดือนละหนึ่งวันเท่านั้น..บางทีฉันจะพยายามให้กำลังใจตัวเองด้วยการมองว่า.. “พวกเขาอยู่ข้างฉัน”..เพื่อจะเชื่อมต่อไปว่า..ฉันเองจะได้ทำงานที่เหมาะสมกับตัวเองสักวันหนึ่ง...”
แท้จริงแล้ว..ชีวิตหลังจากนี้อาจเหนื่อยกว่าเดิมอีกก็ได้.. “พอละทิ้งประสบการณ์ที่มีเพื่อเปลี่ยนสายงาน เงินเดือนก็ลดลงครึ่งหนึ่ง...ฉันยังต้องกิน “คิดบับ” ในออฟฟิศที่ปิดไฟมืด ยังคงแยกไม่ออกว่าเวลาไหนคือเวลากิน เวลาไหนคือเวลานอน..และยังคงโดนบรรดานักโฆษณา พ่นคำด่าใส่ไม่ต่างไปจาก “ผู้จัดซื้อ”
สมัยอยู่ที่ทำงานเก่า..น่าเสียดายที่ฉันยังไม่เคยได้ใช้ชีวิตที่เป็นทุกข์แค่เดือนละวันเลย ..
ถึงอย่างนั้น..เหตุผลที่ทำให้ระหว่างทางกลับบ้าน ที่มักเต็มไปด้วยความกังวลมากกว่าความตื่นเต้น..ก็ไม่มืดเกินไปนักสำหรับ “ว็อนจีซู”
เนื่องเพราะ..ยังมีช่วงเวลาที่เธอตระหนักขึ้นมาได้ว่า.. “เพราะฉันเป็นคนแบบนี้ เลยต้องมาทำงานนี้ไงล่ะ”
เธอเชื่อว่า..การก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้..มันต้องมีความเหมาะสมอะไรสักอย่าง..มันหมายถึงว่า ..ช่วงเวลาเหล่านี้..ผ่านเข้ามาเพียงชั่วครู่..จึงทำให้รู้สึก.... “ได้เข้าใกล้วันพรุ่งนี้ที่หวังไว้มากขึ้น..แล้วงานแรกที่ต้องจัดการในเช้าวันพรุ่งนี้..ก็ดูน่าทำขึ้นมาเล็กน้อย .!” ในสังคมของโลกวันนี้..สังคมที่ทำงานมักมีข้อกำหนด..ในการจัดลำดับก่อน_/หลัง..ตามตำแหน่งอายุงานอย่างชัดเจน..ซึ่งก็มักจะก่อให้เกิดการก้าวก่ายที่ร้ายแรงกว่าสังคมอื่นๆ ทั้งที่ดูเหมือนจะเกิดได้น้อยกว่า..เพราะทุกคนทำงานในสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน..แต่ก็เพราะลักษณะของประสบการณ์ที่แต่ละคนเคยผ่านมานั้น คล้ายๆกันหรือต่างกันแค่ลำดับก่อนหลัง..จึงทำให้เกิดการก้าวก่ายหรือตัดสินคนอื่น จากประสบการณ์ของตัวเองได้ง่ายกว่าที่อื่น ตัวอย่างเช่น..
“ที่ฉันเคยทำไม่ใช่แบบนี้นะ.. “คิดแบบนั้นมันผิด”.. “ถ้าเป็นฉันจะไม่ทำแบบนั้น” หรือ “เธอยังไม่รู้อะไร”...ฯลฯ
*..หลังจากได้สัมผัสการเรียนต่างประเทศด้วยตนเองแค่ไม่นาน..ฉันก็ได้รู้ว่าไม่มีสิทธิ์พูดว่า “ก็แค่นี้” และ คงไม่จำเป็นต้องอธิบายอย่างละเอียดว่าทำไม ..อย่างไร หรือเพราะเหตุใด...การไปเรียนต่อต่างประเทศถึงได้ยากลำบากอย่างนั้น “ต่อให้ไม่ได้ไปเรียนต่างประเทศ ฉันก็ได้ลองนึกถึงชีวิตที่แตกต่างไปจากชีวิตพนักงานออฟฟิศอยู่บ่อยๆ..ความจริงแล้วส่วนใหญ่ฉันอาจแค่อยากหลบไปพักจากความจริงชั่วคราว” ..มากกว่าที่อยากจะลองทำสิ่งนั้นจริงๆ..มันจึงให้ข้อประจักษ์ว่า..ชีวิตในรูปแบบอื่นไม่ใช่ชีวิตจริง ราวกับว่า.. “ชีวิตแบบนั้นง่ายดายกว่าชีวิต ..ในตอนนี้มาก..ๆ”
“ว็อนจีซู” ได้ให้ข้อสรุปว่า..ตัวเธอเองมิได้คาดหวังหรือมีฝันอันยิ่งใหญ่อะไรกับการไปเรียนต่อต่างประเทศ.. “การเลือกลาออกจากงานก็ไม่ได้ส่งฉันไปสู่สรวงสวรรค์เช่นไร..ความท้าทายของการไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็คงไม่ได้ทำให้ชีวิตฉัน พลิกผันไปเหมือนละครเช่นกัน”
เหตุนี้..บทสรุปของชีวิตโดยความหมายของ “ว็อนจีซู” จึงเป็นราวดั่งดักแด้..ที่จะแห้งตายในไม่ช้า หากไม่ลอกคราบเมื่อถึงเวลาอันสมควร.. “ฉันรู้สึกต่อต้าน เวลาที่ตัวเองไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อวาน..จึงพยายามใช้ชีวิตปลดเปลื้องปัจจุบันทิ้งไปอย่างไม่หยุดพัก..เรียกได้ว่า "ใกล้เคียงกับการเอาชีวิตรอดที่น่าสะพรึงกลัว” นี่คือหนังสือที่ทั้งจรรโลงและกระตุกเร้า..ข้อเปรียบเทียบของชีวิตและการทำงาน.
อันเป็นจากเงื่อนไขของอารมณ์และความรู้สึก..จากข้อจำกัดแห่งชีวิตที่แสนจะคับแคบสู่การเผชิญหน้ากับประสบการณ์ของโลกกว้างที่คลางแคลงใจ..ดั่งนี้..ชีวิตจึ่งคืออะไรกันแน่..และชีวิตอันแท้จริงเบิกบานของชีวิตที่มีความหมายจึ่งคือสิ่งใดกัน?
“ธัชชา ธีรปกรณ์ชัย”..ถอดความและแปลเจตจำนงของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้อย่างลุ่มลึกและเข้าใจ..มันคือส่วนขยายอันสมบูรณ์แห่งบันทึกแด่..ทุกๆคนที่กำลังทำงาน..หรืออยากมีความสุขกับงาน ณ ปัจจุบัน..อย่างเปิดกว้าง ..และไม่สิ้นหวัง..
“การใช้ชีวิตก็เหมือนก้อนหินที่วางเรียงกันเป็นสะพานข้ามลำธาร ซึ่งผุดขึ้นมาทีละก้อนเมื่อเริ่มต้นข้ามไป..”
ดั่งทางที่เรารู้จักดีนั้น ก็ย่อมเกิดจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา..แต่ถ้าไม่เคยใช้ชีวิต เราก็ไม่อาจแน่ใจได้แม้วินาทีเดียวว่า.. “หินก้อนต่อไปจะมั่นคงหรือไม่ ..ดังนั้น..ลองก้าวไปก่อนเถอะค่ะ..!..แม้จะมารู้ตัวทีหลังว่า..เหยียบพลาดหลังจากที่ได้ก้าวเท้าไปแล้ว..
แต่มันก็แค่ทำให้ชายกางเกงเปียกน้ำลึกกว่าที่คิดเท่านั้น..ที่สำคัญ..อีกไม่นานมันก็จะแห้ง..ไปเอง..!!”