ตำรวจ ปส. สกัดกั้นเครือข่ายค้ายา ล็อดใหญ่ ยึดยาบ้ากว่า 41 ล้านเม็ด อายัดทรัพย์กว่า 270 ล้านบาท
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 พ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดี- รังสิต พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.บช.ปส. พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว รอง ผบช.ปส.รรท.ผบช.ปส. พล.ต.ออมสิน ตราร์ขเรื่อง รอง ผบช.ปส. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมและขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญของ บช.ปส. จำนวน 5 คดี ยึดยาบ้า 41 ล้านเม็ด และ ไอซ์ 17 กก. ยึดทรัพย์กว่า 270 ล้านบาท
คดีแรก เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 นำกำลังเข้าสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดของเครือข่ายซึ่งมีพฤติการณ์ลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากจากพื้นที่แนวชายแดน ด้าน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อนำไปส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ตอนในของประเทศ กระทั่งเวลาประมาณ 20.20 น. ตำรวจจพบความเคลื่อนไหวรถของกลุ่มเครือข่าย 2 คัน ในลักษณะขับนำและตามกันออกมา ทิ้งระยะห่างประมาณ 5 กม. ผ่านเทศบาลตำบลทุ่งข้าวพวง ต.ทุ่งข้าวพวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ และพบว่าบริเวณท้ายกระบะมีสิ่งของบรรทุกอยู่เต็มคันคลุมด้วยผ้าพลาสติกสีเขียวลักษณะผิดปกติ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำรถยนต์ปิดกั้นเส้นทางบริเวณถนนหมายเลข 1178 หน้ากองร้อยตำรวจตะเวนชายแดนที่ 335 ต.ทุ่งข้าวพวง อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ ต่อเนื่องบริเวณริมถนนขนบท ชม.3024 ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ และบริเวณริมถนนหมายเลข 1249 ก่อนถึงจุดตรวจสามแยกดอยอ่างขาง ต.แม่งอน อ.ฝาง จว.ชียงใหม่ พร้อมส่งสัญญาณให้หยุดรถ เพื่อแสดงตัวขอตรวจค้นรถกระบะติดโครงเหล็กทั้ง 2 คัน พบคนขับ และผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 3 คน ตรวจค้นพบยาบ้า 8,999,800 เม็ต และ ไอซ์ 17 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในท้ายกระบะรถยนต์ จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ตำรวจ กก.1 บก.ปส.3 ร่วมกับ ตำรวจ บก.ขส. และ เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองทางทหาร ร่วมกันสืบสวนเครือข่ายผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนด้าน จวงหนองคาย เข้าสู่พื้นที่ตอนใน เวลาประมาณ 00.40 น. พบความเคลื่อนไหวของรถในเครือข่ายซึ่งไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนด้านหลัง ขับขี่อยู่บนถนมิตรภาพ มุ่งหน้าพื้นที่ตอนใน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ติดตาม เพื่อสกัดกั้นรถคันดังกล่าว เมื่อรถขับไปถึงบริเวณ หมู่ที่ 3 ต.โพธิ์สาม อ.บางปะหัน จว.พระนครศรีอยุธยา ชื่นทางโค้งประกอบกับไม่มีไฟทาง ทำให้รถยนต์คันกล่าวเสียหลักพลิกคว่ำตกลงไปริเวณไหล่ทาง ก่อนที่ตำรวจจะเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ 2 คน จากการตรวจค้นรถพบยาบ้า 5,034,000 เม็ด บรรจุในกระเป้าซุกซ่อนอยู่ในรถกระบะเพื่ออำพราง เจ้าหน้าที่ด้วยการทำทีว่าเป็นรถส่งน้ำแข็ง เพื่อเพื่อเลี่ยง การตรวจสอบ ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
คดีที่ 3 ตำรวจ กก.2 บก.สกส. ได้เฝ้าติดตามสืบสวนกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญของ นายชัดเจนกับพวกพบว่า มีพฤติการณ์ลักลอบนำยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดน อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย นำมาส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ปริมณฑล กระทั่งวันที่ 10 พ.ย.67 เวลาประมาณ 22.50 น. พบเคลื่อนไหวของเครือข่ายโดยพบมีการใช้รถยนต์ 3 คัน ขับขี่ในลักษณะคาราวาน และใช้เส้นทางหลบเลี่ยงด่านตรวจ ผ่านจ.เชียงราย,พะเยา,ลำปาง,แพร่สุโขทัย,พิจิตร มุ่งหน้าพื้นที่ จ.นครสวรค์ จนเมื่อใกล้ถึงด่านตรวจยานพาหนะพยุทะคีรี จ.นครสวรรค์ รถหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร ได้เลี้ยวเข้านั้นน้ำมันน้ำมันปตท. เขาเขียว ถ.พหลโยธิน ต.นครสวรค์ออก อเมืองนครสวรรค์ จว.นครสวรค์ กำลังตำรงตำรวจจึงเข้าตรวจสอบทันที พบนายสุพจน์ เป็นคนขับรถ ตรวจสอบภายในรถพบกระสอบต้องสงสัย 32 กระสอบ ภายในบรรจุยาบ้าจำนวน 8,000,000 เม็ด ถูกซุกซ่อนภายในท้ายกระบะแครี่บอย และภายในห้องโดยสารด้านหน้าของรถ
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 2 ชุด สามารถจับกุม นายบำรุงศักดิ์ได้ภายในปั้ม ปตท.เขาทอง ต.ย่านมัทรี อ.พยหะคีรี จว.บครสวรรค์ ซึ่งทำหน้าที่ขับรถนำทางและคุ้มกัมกันรถลำเลียงยาเสพติด และ นายชัดเจบ จับกุมได้บริเวณด่านตรวจยานพาหนะพยุหะศรี หลังขับรถหมายเลขทะเบียนเชียงราย ทำหน้าที่สำที่สำรวจเส้นทาง ก่อนจะคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย พร้อมของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
คดีที่ 4 ตำรวจ กก.3 บก.สกส.สืบทราบว่าจะมีเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคเหนือ ด้าน อ.เชียงแสน เพื่อส่งให้ลูกค้าตามสั่งการของผู้ว่าใบพื้นพื้นที่ราคกลาง และปริมเฑล จำนวนมากโดยจะใช้รถยนต์ 2 คันในการลำเลียง ใช้เส้นทางจากพื้นที่ชายแดน อ.เชียงแสน จว.เชียงราย - จว.พะเยา - จว.แพร่ -จว.สุโขทัย และวันที่ 8 พ.ย.67 พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มรถยนต์ดังกล่าว ขับเข้าไปจอดภายในหนองบัวรีสอร์ท ต.ป่าสัก อ.เชียงแสน จว.เชียงราย ชุดจับกุมจึงเข้าตรวจสอบ และตรวจค้นรถยนต์ทั้งสองคัน จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 2 คน ทำหน้าที่ขับรถนำทาง ส่วนอีก 2 คนที่ขับรถยนต์ซุกช่อนยาเสพติด อาศัยความมืดหลบหนีไปได้ ผลการตรวจค้นรถพบยาบ้า 1,299 มัด รวมประมาณ 2,598,000 เม็ด วางอยู่ภายในห้องโดยสารด้านหลังคนขับและที่เก็บสัมภาระท้ายรถยนต์ และอยู่ระหว่างการประสานหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย ต่อไป
ทั้งนี้ยังมีการการขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ซึ่งผู้ต้องหารายนี้ได้ลักลอบส่งยาเสพติดโดยบรรจุในกล่องกระดาษส่งทางพัสดุภัณฑ์ผ่านระบบ Logistics เพื่อส่งต่อลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้ โดยนำข้อมูลคดีมาทำการวิเคราะห์ ในทุกมิติพร้อมขยายผลหาเครือข่ายที่ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่องกระทั่งสามารถจับกุมเครือข่ายได้เพิ่ม
คดีสุดท้าย สืบเนื่องเมื่อวันที่15 กย.67 ตำรวจจับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางไอซ์ 2 กก. ก่อนจะขยายผลจับกุมบุคคลในเครือช่ายเพิ่ม 3 คน พร้อมของกลางยาบ้ากว่า 6 ล้านเม็ด และ ไอซ์ 191 กก.ในพื้นที่บก.น9 จากนั้น ตำรวจ บก.ชส. และ กก.4 บก.สกส. ได้ทำการสืบสวนขยายผลเพิ่มจมจนทราบว่ายังมีกลุ่มบุคคลในเครือข่ายนี้ พยายามลักลอบลำเสียงยาเสพติดจากพื้นที่กรุมเทพฯ ลงไปล่ในพื้นที่จว.นครศรีธรรมราช อีกโดยใช้บริษัทขนส่งเอกชน ในพื้นที่แสมดำ เขตบางทุนเทียน ในการลำเสียง ตำรวจจึงจัดชุดเฝ้าติดตามจนสามารถตรวจยึดยาบ้า 1,200,000 เม็ด เมื่อวันที่26 ต.ค.67 ที่ผ่านมา
ก่อนจะสืบสวนขยายผล จนสามารถจับกุม 3 ผู้ต้องหา ซึ่งทำหน้าที่รับยาเสพติดของกลาง ในพื้นที่ อ.ทุ่งสง จว.นครศรีธรรมราช และควบคุมตัวไปตรวจค้นบ้านเช่า พบยาบ้าอีก 900,000 เม็ดในพื้นที่อ.พรหมศรี จว.นครศรีรรรมราช ซึ่งเป็นหนึ่งในบ้านเช่าของผู้ต้องหา ก่อนจะนำตัวทั้งดพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและ ยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป
สำหรับการปราบปรามยาเสพติดของ บช.ปส. ตั้งแต่ 1 ต.ค.67 - 13 พ.ย.67 สามารถจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดทุกคดีได้ 125 คดี ผู้ต้องหา 141 คน ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้า 41,615,738 เม็ด, ไอซ์ 1,704 กก, เฮโรอีน 28 กก., คีตามึน 190 กก. และ ยึดอายัดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติด 264,096,353 ล้านบาท
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ภายใต้นโยบายนายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา เน้นไปที่การปราบปรามยาเสพติดให้หมดสิ้นไป ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการดำเนินการอย่างเป็นระยะ ในรอบเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นมามีการจับกุมได้รวม 5 คดีและวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา สามารถจับกุมได้มากถึง 9 ล้านเม็ด โดยทั้ง 5 คดี ยืนยัน ลักลอบมาจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งสิ้น
ส่วนที่ว่ามีการจับกุมเยอะแสดงว่าแพร่ระบาดมีเยอะด้วยหรือไม่นั้น ส่วนนี้ อยากให้เปลี่ยนความคิดที่ว่าถ้าจับมากแสดงว่ามันเยอะขึ้น แต่อยากให้มองว่า ยาเสพติดนั้น วงจรของมันคือการลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งพื้นที่ที่ติดแนวชายแดนเป็นระยะทางยาว มีช่องทางธรรมชาติจำนวนมาก การลักลอบนั้น ผู้ผลิตนอกประเทศมีความพยายามจะใช้ประเทศไทยเป็นที่พัก หรือเป็นที่ผ่านอยู่แล้ว แต่เมื่อมีข้อมูลด้านการข่าว ตำรวจก็ต้องมีการประสานงานบูรณาการเพื่อปราบปรามจับกุม แต่หากหลุดรอดมาได้ ก็ต้องมีการสกัดจับทุกช่องทาง ทั้งทางน้ำ ทางอากาศทางบก มีการประสานงานกันตามยุทธวิธีทุกกระบวนการ
พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ยังเปิดเผยถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้ออกมาประกาศสงครามกับยาเสพติดขณะลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ว่า ที่ผ่านมาตำรวจได้ระดมกำลังกวาดล้างยาเสพติดซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว ส่วนคำพูดของนายทักษิณจะเป็นการส่งสัญญาณหรือส่งนัยยะหรือไม่ส่วนตัวไม่ขอวิเคราะห์หรือวิจารณ์ เพราะเป็นคำพูดบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงเท่านั้น
แต่ตำรวจจะขอปฏิบัติตามหน้าที่เพื่อป้องกันปราบปรามตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงนโยบายที่ตัวเองเคยประกาศไว้ภายใต้หลักคิด ยาเสพติดต้องหมดไป ส่วนกรณีที่ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากพบยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดใด ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนั้น ๆ จะต้องถูกลงโทษ พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ ยืนยันว่า ที่ผ่านมาตำรวจมีตัวชี้วัดคือผลงานการจับกุมยาเสพติดและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง กว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผลการปฏิบัติการดังกล่าวถือว่ามีผลสัมฤทธิ์และประสบความสำเร็จอย่างสูง
แต่หาก พบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนรู้เห็นหรือเรียกรับผลประโยชน์ก็จะดำเนินการทางวินัยและทางปกครองตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าการจับกุมได้มากไม่ได้หมายถึงการที่ประเทศไทยมีฐานการผลิต แต่ยาเสพติดดังกล่าวเป็นยาเสพติดที่พบถูกลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามแนวชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ ซึ่ง ที่ผ่านมาตำรวจได้ประสานงานร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อให้ทำการสกัดกั้นทุกช่องทางตามยุทธวิธี และเร็ว ๆ นี้ ตำรวจจะเปิดปฏิบัติการทลายผู้ค้ารายย่อย ซึ่งแฝงตัวอยู่ตามชุมชนหมู่บ้านต่อไป