PTG แรงไม่มีแผ่ว โชว์ยอดขายงวด 9 เดือนปี 2567 เท่ากับ 167,132 ล้านบาท กำไรสุทธิ 806 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.1%จากงวดเดียวกันปีก่อน ขณะที่ปริมาณการขายน้ำมันผ่านทุกช่องทางทุบสถิติสูงสุดใหม่นิวไฮ อยู่ที่ 5,013 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้น 13.6% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน เติบโตสวนตลาด ครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการสะสม 9 เดือนเพิ่มขึ้นเป็น 21.3% บอร์ดไฟเขียวอนุมัติจ่ายปันผลเอาใจผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น รับเงินเข้ากระเป๋า 12 ธ.ค. นี้
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2567 (สิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2567) ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 806 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.1% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 424 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานอยู่ที่ 0.48 บาทต่อหุ้น ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 167,132 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.0% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 149,286 ล้านบาท ขณะที่งวดไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิ 74 ล้านบาทเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 24 ล้านบาท
การเติบโตของรายได้ดังกล่าวมีปัจจัยหลักมาจากธุรกิจ Oil มีรายได้เติบโตที่ 11.0% เป็น 154,640 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางยังคงสร้างสถิติยอดขายสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็น 5,013 ล้านลิตร หรือเพิ่มขึ้นถึง 13.6% คิดเป็นการจำหน่ายผ่านช่องทางค้าปลีกผ่านสถานีบริการ PT จำนวน 4,886 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 14.1% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same-Store Sales Growth) ยังคงเติบโตกว่า 10% เทียบจากปีก่อนหน้า ทั้งจากลูกค้าใหม่ และกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus
รวมถึงปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องในงวด 9 เดือนที่ผ่านมา จึงส่งผลทำให้บริษัทฯ ครองส่วนแบ่งตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้นเป็น 21.3% เมื่อเทียบกับ 18.7% ในปีก่อนหน้า โดยบริษัทฯ มีการขยายสถานีบริการน้ำมัน PT เพิ่มขึ้น 1.7% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 2,214 สถานี
สำหรับธุรกิจ งวด 9 เดือนของปี 2567 มีรายได้จำนวน 12,492 ล้านบาท เติบโต 25.8% โดยการเติบโตของยอดขายเป็นผลมาจากธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยและธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ ซึ่งธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยที่มีรายได้จากการขายและการบริการที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญที่ 75.1% เป็นจำนวน 1,540 ล้านบาท เป็นผลจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยงวด 9 เดือนของปี 2567 มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 1,126 สาขา เพิ่มขึ้น 48.9% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายอัตราการเติบโตของยอดขายทั้งปี ในธุรกิจ Non-Oil (ไม่รวมธุรกิจ LPG) ไม่ต่ำกว่า 40-50% เมื่อเทียบปีก่อน
รวมทั้งการใช้บริการอย่างต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้ารายเดิมและจากกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ที่ส่งผลต่อการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (Same-Store Sales Growth) ยังคงอยู่ในระดับ 20-30% รวมถึงการทำแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ยังคงวางเป้าหมายการขยายสาขาของกาแฟพันธุ์ไทยเป็น 1,282 สาขา ณ สิ้นปี ซึ่งยังคงเน้นขยายไปในพื้นที่ที่มีศักยภาพ
ในงวด 9 เดือนบริษัทฯ มีสาขาของธุรกิจ Non-Oil รวมทั้งสิ้น 1,878 สาขา (ไม่รวมสาขาธุรกิจ LPG) เพิ่มขึ้น 525 สาขา หรือเติบโต 38.8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้รายได้จากธุรกิจ Non-Oil คิดเป็นสัดส่วน 7.5% ของรายได้ทั้งหมดซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 6.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สำหรับธุรกิจอื่น ๆ ภายใต้ธุรกิจ Non-Oil บริษัทฯ ยังคงวางแผนขยายสาขาและ Touchpoints อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าจำนวนสาขาธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ เป็นจำนวน 961 Touchpoints เพิ่มขึ้น 329 Touchpoints โดยการขยายสาขาจำนวนหลักๆ มาธุรกิจศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs สถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex by EGAT PT และสาขาร้านสะดวกซื้อ Max Mart เป็นต้น
นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่าแนวโน้มการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทาง และอุปสงค์การใช้น้ำมันในช่วงที่เหลือของปี ยังมีทิศทางที่ดี บริษัทฯ จึงคงเป้าการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางที่ 10-15% เทียบปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ Upgrade เป้ามาแล้วจาก 8-12% ที่ตั้งไว้ช่วงต้นปี และคาดว่าจะมีสถานีบริการน้ำมันครบ 2,251 สาขาภายในปีนี้
จากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น สำหรับหุ้นจำนวน 1,670 ล้านหุ้น เป็นจำนวนเงินรวม 167,000,000 บาท โดยกำหนดรายชื่อ ผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 และวันไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 ธันวาคม 2567
บริษัทฯ ยังคงตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบและคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม จึงผนวกความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อหวังเชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกช่วงของชีวิต โดยยังคงขับเคลื่อนองค์กรอย่างยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อเน้นย้ำความพยายามในการรักษาสมดุลระหว่างการดำเนินงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ขับเคลื่อนไปด้วยกัน