"ดีเอสไอ" แจ้งข้อกล่าวหาบริษัทและ 18 บอสดิไอคอนกรุ๊ปเพิ่มฐานร่วมกันทำผิด 3 ข้อหา
เมื่อวันที่ 12 พ.ย.67 ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 70/2567 ของกองบังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กรณีดำเนินคดีอาญากับ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก รวม 19 ราย ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” มาทำการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 เป็นคดีพิเศษที่ 119/2567 และมีผู้ต้องหาจำนวน 19 ราย เป็นนิติบุคคล 1 ราย คือบริษัทดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารบริษัทฯ อีก 18 คน ถูกคุมขังระหว่างการสอบสวนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง นั้น
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า พันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ประกอบด้วย ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะ รองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ พันตำรวจโทอนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และ ร้อยตำรวจเอก สุรวุฒิ รังไสย์ ผู้อำนวยการกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ในฐานะคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษในสังกัดเดินทางไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้กับผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมอยู่ทั้ง 18 คน และในฐานะผู้แทนนิติบุคคลอีก 1 ราย ในความผิดฐาน (1) “ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” อันเป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (2) “ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น” และ (3) “ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต” อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากภายหลังที่รับสำนวนการสอบสวนมาดำเนินการแล้ว มีการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมโดยพบพยานหลักฐานที่เข้าองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายดังกล่าวและเห็นว่าพฤติการณ์และการกระทำของผู้ต้องหาทั้งหมดมีการร่วมกันกระทำการในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ ประกอบด้วยทีมบริหาร แม่ทีมบรรยายชักชวนร่วมลงทุน และทีมผู้มีชื่อเสียงที่สร้างตัวตนให้เห็นถึงความร่ำรวยจากการประกอบธุรกิจ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้แจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวกับผู้ต้องหาทั้งหมด
หลังจากนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะให้โอกาสผู้ต้องหาทั้ง 19 คน (รวมนิติบุคคล) นำพยาน หลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย หากประสงค์ยื่นคำให้การเป็นเอกสารหรือยื่นพยานหลักฐานประกอบการแก้ข้อกล่าวหาให้รวบรวมหลักฐานให้แล้วเสร็จเสนอมายังคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษภายใน 15 วัน นับแต่รับทราบข้อกล่าวหาเพื่อพิจารณาต่อไป เว้นแต่มีเหตุอันมิอาจก้าวล่วงได้ กรณีที่อ้างพยานบุคคลเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้สอบข้อเท็จจริงและจัดทำบัญชีพยานบุคคลโดยต้องระบุข้อมูลของพยานแต่ละคนเพื่อสำหรับทำบัญชีพยานและประเด็นที่จะใช้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วย ทั้งนี้ จะมีการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อรับทราบการแจ้งข้อกล่าวหาและติดตามผลการดำเนินคดีตามที่มีการมอบหมายงานไว้แล้วต่อไป