วันที่ 12 พ.ย.67 นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ระบุว่า...
“Woke” ยก ”แม่ยั่วเมือง“ ให้เป็น ”แม่หยัวเมือง”
เพียงหวังเสียดสีและบั่นทอนสถาบันฯ
โดย #อัษฎางค์ยมนาค
พระเจ้าอู่ทอง ไม่ได้มีพระนามว่า พระเจ้าอู่ทอง และไม่ได้เคยครองเมืองอู่ทองหรือย้ายมาจากเมืองอู่ทองอย่างที่สอนกันในโรงเรียน
มีข้อสันนิษฐานว่า พระเจ้าอู่ทอง คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 สืบเชื้อสายมาจากละโว้ (ลพบุรี) และทรงตั้งเมืองที่เรียกว่า “อโยธยาศรีรามเทพนคร” ก่อนที่จะย้ายข้ามแม่น้ำไปตั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีในปี พ.ศ. 1893
ราชวงศ์อู่ทองครองกรุงศรีอยุธยาอยู่ประมาณ 79 ปีเท่านั้น นับจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) จนกระทั่งสิ้นสุดในปี พ.ศ. 1972 เมื่อพระราเมศวร (โอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1) เสียราชสมบัติและราชวงศ์สุพรรณภูมิขึ้นครองราชย์แทน
ท้าวศรีสุดาจันทร์
ทายาทจากราชวงศ์อู่ทอง(เชื้อสายละโว้-อโยธยา)?
มีข้อสันนิษฐานว่าชาติกำเนิดของท้าวศรีสุดาจันทร์อาจสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์อู่ทอง (ละโว้-อโยธยา) โดยเชื่อมโยงกับสมเด็จพระเจ้ารามราชา ซึ่งถูกส่งไปอยู่เมืองปทาคูจาม (คาดว่าเป็นตำบลสำเภาล่มใกล้วัดพุทไธศวรรย์ในปัจจุบัน) แม้ว่าพระเจ้ารามราชาจะเสียราชสมบัติ แต่ลูกหลานของพระองค์อาจได้รับการเลี้ยงดูในราชสำนักในฐานะตระกูลที่มีเชื้อสายและถูกละเว้นให้ทำหน้าที่สำคัญ
นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่า ขุนวรวงศาธิราช อาจเป็นพราหมณ์หรือปุโรหิตในราชสำนัก ทำหน้าที่เฝ้าหอพระ เป็นผู้แปลหนังสือต่างประเทศ และมีความสามารถในด้านอักษรศาสตร์และพิธีกรรม
ยังมีหลักฐานจากจดหมายเหตุวันวลิตและงานวิจัยของ อ.พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ สะท้อนว่า ขุนวรวงศาธิราชเป็นเครือญาติในราชวงศ์อู่ทองกับท้าวศรีสุดาจันทร์
อ.พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ยังชี้ว่า ในอดีตขุนนางหรือผู้มีอำนาจมักมาจากเชื้อสายละโว้-อโยธยาที่เคยมีอำนาจและได้รับการเลี้ยงดูให้ทำพิธีกรรมในราชสำนัก
แนวคิดนี้ยังได้รับการสนับสนุนในภาพยนตร์เรื่อง “สุริโยไท” ที่ขุนวรวงศาธิราชถูกนำเสนอในบทบาทพราหมณ์ในราชสำนัก ซึ่งเป็นมุมมองการตีความที่ได้รับจากข้อสันนิษฐานของอาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์
ถ้าอิงตามความเชื่อนี้ ก็อาจตีความได้ว่า ทายาทของราชวงศ์อู่ทอง (ละโว้-อโยธยา) คิดชิงอำนาจจากสมเด็จพระไชยราชาธิราช แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ให้กลับคืนสู่ราชวงศ์อู่ทอง (ละโว้-อโยธยา)
ถ้ามองจากมุม สมเด็จพระไชยราชาธิราช แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ท้าวศรีสุดาจันทร์และขุนวรวงศาธิราชจากราชวงศ์อู่ทองคือตัวร้าย
แต่ถ้ามองอีกมุมจากท้าวศรีสุดาจันทร์จากราชวงศ์อู่ทอง ก็หวังเพียงทวงคืนความชอบธรรมจากราชวงศ์สุพรรณภูมิ
การแก่งแย่งอำนาจย่อมมีการก่อกรรมสร้างเวรเข่นฆ่า ผู้แพ้ก็ย่อมเป็นตัวร้าย ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม นี้คืออีกความเชื่อหรืออีกมุมจากการตีความตามหลักทางประวัติศาสตร์ที่ต่างไปจากประวัติศาสตร์ในตำรา
การศึกษาประวัติศาสตร์ในบางกรณีอาจจะไม่สามารถฟันธงว่าเรื่องใดจริงหรือเท็จอย่างชัดเจน บางเรื่องต้องรอเวลาและหลักฐานที่จะค้นพบในอนาคต
แต่การเขียนนิยายหรือสร้างเป็นละครหรือภาพยนตร์บางครั้งมีการตีความกันสุดโต่ง หรือมีนัยยะทางการเมืองแอบแฝงเพื่อบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเพียงมุ่งสร้างความบันเทิงจนเกินขอบเขต จนไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อบุคคลในประวัติศาสตร์อย่างคนที่ขาดจรรยาบรรณ
โดยส่วนตัวได้ชมบทบาทของ ”ท้าวศรีสุดาจันทร์“ มาหลายเวอร์ชั่น แต่ชอบเวอร์ชั่นที่แสดงโดย “ใหม่ เจริญปุระ” จากการตีความของทีมงานจากภาพยนตร์ ”สุริโยทัย“ ของท่านมุ้ย มากที่สุด เพราะท้าวศรีสุดาจันทร์ในเวอร์ชั่นนี้แสดงออกถึงเสน่ห์ยั่วยวนอย่างซ่อนเร้น ที่แฝงความฉลาดอย่างแยบยลของบุคคลระดับนางพญาผู้อยู่เบื้องหลังบัลลังก์ของมหาราชา มิใช่นางยั่วเมือง
ท้าวศรีสุดาจันทร์ เป็น ”แม่หยัวเมือง” ซึ่งคำว่า “หยัว” มาจากหรือแปลว่า “อยู่หัว” ดังนั้น ”แม่หยัว“ คือ ”แม่อยู่หัว“
ซึ่งเป็นคนละคนกับ “แม่ยั่วเมือง” ที่มีเสน่ห์ในด้านกามตัณหา
อย่ายก ”แม่ยั่วเมือง“ ให้เป็น ”แม่หยัวเมือง”
เพราะมันบั่นทอนสถาบันฯ
“Woke”
เป็นคำที่มีรากฐานมาจากภาษาอังกฤษแบบแอฟริกันอเมริกัน (African American Vernacular English หรือ AAVE) ที่มีความหมายดั้งเดิมว่า ตื่นรู้ หรือ ตื่นตัว โดยเฉพาะต่อประเด็นทางสังคม เช่น การเหยียดเชื้อชาติ ความยุติธรรมทางสังคม และสิทธิมนุษยชน
ปัจจุบันคำว่า “woke” ถูกใช้อย่างหลากหลายและมีการตีความที่ต่างกันไป บางครั้งถูกใช้ในแง่บวกเพื่อยกย่องคนที่มีจิตสำนึกต่อปัญหาสังคม อย่างไรก็ตาม คำนี้ก็ถูกใช้ในแง่ลบหรือถูกล้อเลียน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการตื่นรู้หรือเห็นว่าเป็นการตื่นรู้ที่เกินจริง
ทำให้คำว่า “woke” ในปัจจุบันมีความหมายและการใช้ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริบทและมุมมองของผู้ใช้
คำว่า “woke” มีความหมายตั้งแต่การตื่นรู้ทางสังคมไปจนถึงการใช้อย่างเสียดสี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทและเจตนาของผู้พูด
ขอฝากถึง Woke สัญชาติไทย
“These people are just pretending to be pro-democracy, anti-discrimination, and advocates for social justice and human rights, but in reality, they show prejudice, disrespect, and spread misinformation about the monarchy.”
“คนพวกนี้แค่อ้างตัวว่าเป็นผู้สนับสนุนประชาธิปไตย ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ และเป็นผู้เรียกร้องความยุติธรรมทางสังคมและสิทธิมนุษยชน แต่ในความเป็นจริงพวกเขากลับแสดงอคติ ดูหมิ่น และเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์”