วันที่ 10 พ.ย.2567 นายนิกร  จำนง  เลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ  กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขบทบัญญัติที่ว่าด้วยเกณฑ์ผ่านประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ ว่า จากที่ตนเสนอแนวทางให้ใช้เกณฑ์ผ่านประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญด้วยเสียงข้างมากชั้นครึ่ง คือ ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ ขณะที่เสียงเห็นชอบนั้นใช้เสียงข้างมากของผู้มาออกเสียง และต้องเป็นจำนวนที่มากกว่าเสียงโนโหวต แทนการใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น คือ ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิและเสียงเห็นชอบต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ นั้นเพื่อให้เป็นแนวทางประนีประนอม ระหว่างหลักการที่ กมธ.ฝั่งสส.ยึดถือ คือ เสียงข้างมากปกติ และ กมธ.ฝั่งสว. ที่ต้องการใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น อย่างไรก็ดีในประเด็นข้อเสนอนั้นเชื่อว่าจะมีกมธ.ที่สนับสนุน ทั้งจากพรรครวมไทยสร้างชาติและจากพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากแนวทางเสียงข้างมากชั้นครึ่งนั้น เคยเป็นแนวทางที่พรรคภูมิใจไทยเสนอร่างแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติต่อสภาฯ

นายนิกร กล่าวด้วยว่าส่วนกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทย เช่น นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไม่เห็นด้วย เพราะต้องการใช้เสียงข้างมากปกติ และต้องการให้สภาฯ ยืนยันบทบัญญัติในเรื่องดังกล่าว หลังจากที่ผ่านเวลา 180 วันนั้น ตนมองว่าพรรคเพื่อไทยควรประเมินให้ดี เพราะหากมีกรณีแตกหักในชั้นกรรมาธิการฯ ซึ่งเป็นการแตกหักกับ สว. อาจทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ตามขั้นตอนแล้วต้องได้เสียงสว. รับหลักการวาระแรก 1 ใน 3 หรือ 67 เสียง

“เสียงของสว.มีส่วนสำคัญต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญของประชาชน หากไม่มีหนทางประนีประนอมแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนอาจไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ส่วนที่กังวลว่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิประชามติ ไม่ถึง 50% ของผู้มีสิทธินั้น ตามสาระของร่างแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติ ได้เปิดให้ใช้วิธีออกเสียงผ่านทางไปรษณีย์ ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้มาก และเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญเกินเกณฑ์กำหนด ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ 2 ฝ่ายพยายามประนีประนอมกันถอยคนละครึ่งก้าวเพื่อข้ามความยากลำบากนี้ไปให้ได้เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่ผู้คนเฝ้ารอ” นายนิกร กล่าว

นายนิกร กล่าวด้วยว่าสำหรับการประชุมของกมธ.ร่วมฯ ในสัปดาห์หน้าจะงด และจะนัดอีกครั้งวันที่ 20 พ.ย. โดยเชิญตัวแทนของบริษัทไปรษณีย์ไทย และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาหารือถึงแนวทางการทำประชามติด้วยวิธีอื่นๆ นอกจากการตั้งหน่วยและลงคะแนนในคูหา เบื้องต้นจากที่ตนศึกษาแนวทางการทำประชามติด้วยระบบไปรษณีย์นั้น เชื่อว่าประเทศไทยสามารถทำได้ แม้ไม่เคยทำมาก่อน อีกทั้งหลังจากที่ กกต. เข้าหารือกับ กมธ.ร่วมแล้ว ทราบว่าจะเดินทางไปดูงานการประชามติที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่กกต.จะกำหนดและออกแบบการทำประชามติผ่านระบบไปรษณีย์ที่เหมาะสมต่อไปได้