เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2567 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ทนายความ อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ โสต์เฟซบุ๊กเรื่อง "ขี้สงสาร" ระบุว่า ผมน่าจะมีจุดอ่อนอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ขี้สงสาร เห็นใครทุกข์ลำบากไม่ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี ผมสงสารไปหมด
ขอเขียนอีกครั้งเถอะ แม้จริตผมไม่ตรงกับทนายตั้ม(ษิทรา เบี้ยบังเกิด) ผมเคยเขียนต่อว่าเขาครั้งหนึ่ง ตอนเขาไปทำบุญและอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษใครคนหนึ่ง(ผมจำไม่ได้แล้วว่าเขาให้ลงโทษใคร) ผมขึ้นเฟซต่อว่าเขาทันที ว่าจะบ้ารึ!! การอธิษฐานขอพรเขาไม่อธิษฐานขอพรให้พระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษใคร มีแต่ขอพรให้ตัวเองและผู้อื่นพ้นทุกข์ ได้วิชานี้มาจากไหนวะ!!! นี่มันวิชามารนะ!!
หลังจากนั้นทนายตั้ม ลงเฟซขอถอนคำอธิษฐาน ด้วยความขี้สงสารของผม เห็นภาพทนายตั้มโอบกอดภรรยาและจูบที่หน้าผากภรรยา ผมก็สะท้อนใจ ผมบ่นกับภรรยาว่า สงสารเขา ปกติคนเป็นสามีต้องปกป้องภรรยา เขาคงปวดใจที่ปกป้องภรรยาไม่ได้ ทำให้ภรรยาต้องมารับวิบากด้วย
ภรรยาผมสวนขึ้นมาว่า ดีนะขนาดอยู่ในรถควบคุมผู้ต้องหา เขายังจูบหน้าผากภรรยา แต่เธอไม่เคยจูบหน้าผากฉันนานแล้ว เป็นงั้นไปอีก!!!
ยิ่งอ่านข่าวว่า เขาไม่ขอประกันตัวเองแต่ขอให้ภรรยาได้ประกันตัว ผมก็ยิ่งเห็นใจเขาเข้าไปอีก ประกันออกมาแล้วผิดเงื่อนไข ค่อยถอนประกันก็ได้
ผมฝากเพื่อนทนายตั้ม จะช่วยเขาหรือไม่ช่วยเขา ก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและรูปคดี แต่การให้กำลังใจ ให้เขาเข้มแข็ง ไม่ผิดอะไรหรอก เขาเรียกว่าเพื่อนแท้มิใช่เพื่อนกิน
จำหลักไว้นะครับผู้ต้องหาหรือจำเลย ไม่ว่าเขาผิดหรือถูก เขา “จำเป็น" ต้องมีทนายความเป็นที่ปรึกษา ผิด-ถูก ก็ว่าไปตามข้อเท็จจริง เหมือนผู้ป่วยไม่ว่าเป็นโจรหรือพระ หมอก็ต้องรักษาอาการเจ็บป่วยให้
เพื่อนทนายความคนไหนไปเยี่ยมเขา ก็ซื้อหนังสือปรัชญา สโตอิก (Stoicism) เล่มดีๆ ไปฝากเขาสักเล่มสองเล่ม เพื่อให้เขาอยู่ได้โดยมีหลักคิด ที่ไม่ทุกข์จนเกินไป
ใครไม่ชอบใจข้อเขียนผมก็เมตตาผมเถอะ ผมเหมือนผลไม้ที่หมดรสฝาด หมดรสเปรี้ยวแล้ว มีแต่รสหวานที่อยากให้เพื่อนร่วมโลกอยู่กันอย่างมีความสุขไม่เบียดเบียนกันเท่านั้น
#ข่าววันนี้ #ข่าวอาชญากรรม #อาชญากรรม #ตั้มษิทรา #ทนายตั้ม #นิพิฏฐ์