SAFE เปิดผลงาน 9 เดือนปี 2567 โชว์รายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่ 658.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.65% ขณะที่กำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 143.44 ล้านบาท บิ๊กบอส “นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์” ระบุการนำเทคโนโลยีใหม่ PGTSeqA มาใช้ จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในส่วนของกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเริ่มใช้ 23 ม.ค. 68 คาดเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเปิดทางให้การทำ IVF ง่ายขึ้นในอนาคต ถือเป็นกลุ่มตลาดใหม่ที่น่าสนใจสร้างความคึกคักให้ธุรกิจ
นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (SAFE) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ใน 9 เดือนปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) มีรายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่ 658.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.25 ล้านบาท หรือ 4.65% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 629.19 ล้านบาท ส่วนกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 143.44 ล้านบาท ปัจจัยที่ทำให้รายได้ 9 เดือนแรกปี 2567 เพิ่มขึ้นดังกล่าว มาจากกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก และรายได้จากการให้บริการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อนและทารกในครรภ์เพิ่มขึ้น จากการเร่งเข้ามารับการรักษาในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 เป็นจำนวนมาก เพื่อให้บุตรเกิดในปีมังกร
สำหรับ PGTSeqA ซึ่งเป็นเครื่องมือในการตรวจและคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อนได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้น จะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยประเมินว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยการเติบโตและสร้างรายได้ที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ SAFE ยังเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่มีสิทธิ์ในการใช้เทคโนโลยีนี้จากผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกา
ขณะที่ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจะเริ่มใช้วันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพื่อเปิดทางให้ทำ IVF ให้กับกลุ่มเพศทางเลือก สมรสหญิง-หญิง หรือชาย-ชาย แล้วต้องการมีลูกจำเป็นต้องใช้น้ำเชื้อบริจาค การฝากไข่ ซึ่งอาจตั้งครรภ์เอง หรือว่าจ้างก็ได้ แต่ทั้งนี้จะต้องมีกฎหมายมารองรับก่อน ส่วนกฎหมายอุ้มบุญ (Surrogacy law = การตั้งครรภ์แทน) หากกฎหมายเริ่มผ่อนคลายและเอื้ออำนวย จะส่งผลให้การให้บริการมีโอกาสเติบโตได้อีก 2-3 เท่า ปัจจุบัน SAFE เปิดให้บริการรวมทั้งหมด 5 สาขา ได้แก่ สาขาอัมรินทร์ (กรุงเทพฯ), สาขารามอินทรา (กรุงเทพฯ), สาขาศรีราชา (ชลบุรี), สาขาภูเก็ต (ภูเก็ต) และสาขาขอนแก่น (ขอนแก่น) โดยแบ่งสัดส่วนของลูกค้าของบริษัทฯ เป็นคนไทย 53% ต่างประเทศ 47% โดยมาจากจีน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, อินเดีย, เวียดนาม และกัมพูชา
"แนวโน้มในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่ายังจะเติบโตได้ดี โดยมุ่งสร้างการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ รวมถึงบริษัทย่อยอย่างบริษัท เน็ก เจนเนอร์เรชั่น จีโนมิค (NGG) ที่ให้บริการการตรวจวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและทารกในครรภ์ และให้บริการด้านห้องปฏิบัติการ รวมถึงยังมีธุรกิจ Wellness ด้านผิวหนังและความงามสำหรับคุณแม่ก่อนและหลังคลอดบุตร มาช่วยสนับสนุนผลงานของบริษัทฯ ให้เติบโตให้อนาคต" นพ.วิวัฒน์กล่าว