คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
การกลับมาอีกครั้งหนึ่งของ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” นับว่ามิใช่เรื่องธรรมดาๆ เพราะเขาสามารถกวาดคะแนนใน 7 รัฐสวิงไปครอบครองอย่างเหนือความคาดหมายแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะได้รับคะแนนอิเล็กโทรัลแบบขาดลอยถึง 277 เสียงต่อ 224 คะแนน จนได้รับชัยชนะแบบถล่มทลาย!!!
และเมื่อเช้าวันพุธนี้เขาก็ยังได้รับคะแนนป๊อปปูล่าร์ไปแล้วกว่า 71 ล้านคะแนนอีกด้วย
การกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในครั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ทั้งหมด
โดยการฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์นั้น เขาจะมีเวลาในการจัดตั้ง 75 วัน ที่จะต้องแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ในรัฐบาลกว่า 4,000 คน ก่อนที่จะเขาจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2025
หากจะวิเคราะห์ถึงความสำเร็จอย่างล้มหลามของประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งนี้ ถือได้ว่าการที่ชาวอเมริกันเทใจมอบคะแนนให้แก่เขา สืบเนื่องมาจากความมุ่งมั่นในความรักชาติที่ต้องการที่จะให้สหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งคราหนึ่งนั่นเอง
ณ บัดนี้เท่ากับว่าสังคมของคนอเมริกันยังไม่พร้อมเปิดใจที่จะให้เพศหญิงเข้าไปรับบทบาทเป็นผู้นำโลก
อนึ่งการกลับคืนสู่อำนาจของประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งนี้ พรรครีพับลิกันยังคุมเสียงข้างมากในสภาคองเกรส และยังมีศาลฎีกาสนับสนุนเขาอีกด้วย และไม่แน่ว่าสภาผู้แทนฯพรรครีพับลิกันก็อาจจะได้รับชัยชนะอีกด้วย
ในเมื่อโอกาสอันดีมาถึงเขาในตอนนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็จะมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จตามที่เขาต้องการ ส่วนเรื่องคดีอาญาหลายๆคดีที่ติดตัวเขาก็อาจจะหมดไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ชนะอย่างถล่มทะลาย น่าจะมาจากปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชูธงหาเสียง
ขณะนี้ปัญหาค่าครองชีพสูงที่ถาโถมจนชาวอเมริกันแบกรับภาระแทบไม่ไหวไม่ว่าจะเป็นด้านอาหารการกิน ด้านที่บ้านพักอาศัยขาดแคลน ด้านค่าเช่าที่มีราคาสูงลิบลิ่ว มีผลทำให้คนอเมริกันรู้สึกท้อแท้เบื่อหน่ายกับรายได้ที่ไม่พอใช้!!!
ดังนั้นเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาชูธงในสโลแกนที่ว่า จะให้สหรัฐอเมริกากลับมามีความยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง จึงนับได้ว่าเป็นจุดขายที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว
ที่ผ่านมาคนอเมริกันเริ่มเบื่อหน่ายนโยบายต่างประเทศของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ที่พบกับแต่ความล้มเหลว โดยเขาไม่สามารถกดดันให้สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มนักรบฮามัสยุติลงได้ แถมชาวปาเลสไสตน์ยังถูกอิสราเอลเข่นฆ่าและได้รับบาดเจ็บจำนวนมหาศาล ทั้งๆที่ทุกๆปีสหรัฐฯทุ่มเทเงินช่วยเหลือให้แก่อิสราเอลจำนวนมหาศาล
รวมไปถึงสงครามที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มอาหรับ ที่ขณะนี้กำลังขยายไปในวงกว้างที่อาจจะกลายเป็นตัวจุดชนวนทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม
ส่วนสงครามยูเครน ก็นับว่าประธานาธิบดีไบเดนพบกับความล้มเหลวด้วยเช่นกัน ทั้งๆที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนทุ่มเททั้งอาวุธ และเม็ดเงินช่วยเหลือจำนวนมหาศาล แถมยูเครนยังได้รับความช่วยเหลือด้านการทหารจากนาโตจำนวนมหาศาลอีกด้วยเช่นกัน แต่สงครามก็ยังคงยืดเยื้อ แถมกองกำลังทหารทั้งของยูเครนและของรัสเซียต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมหาศาลเช่นกัน
นอกจากนั้นแล้วการที่ทหารของเกาหลีเหนือกว่าหนึ่งหมื่นคนเข้าไปร่วมสมทบช่วยทหารรัสเซียสู้รบนั้น ก็อาจจะทำให้สงครามยูเครนขยายวงกว้างจนกลายเป็นสงครามโลกได้เช่นกัน
ทั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะมีความสามารถยุติสงครามยูเครนได้เหมือนดั่งนโยบายที่เขาชูธงเอาไว้จริงๆ สืบเนื่องมาจากเขามีความสนิทสนมกับ“ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน”แห่งรัสเซีย และยังเป็นมิตรอันดีกับ “ประธานาธิบดีคิม จองอึน”ของเกาหลีเหนือ ซึ่งย่อมจะสร้างความสงบให้เกิดขึ้นได้
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเป็นที่ประจักษ์ให้เห็นเด่นชัดแล้วว่าการที่ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลายเหนือความคาดหมายในครั้งนี้เกิดขึ้นจากคนอเมริกันเกิดความท้อแท้กับเศรษฐกิจที่เข้ารุมเร้า แถมพวกเขายังเบื่อหน่ายในเรื่องการยื่นมือและเม็ดเงินเข้าไปช่วยเหลือด้านทำสงคราม และคงจะต้องดูกันต่อไปว่าสหรัฐอเมริกาจะกลับมายิ่งใหญ่ในรูปแบบใดละครับ