เกมพ่ายแพ้ต่อ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม 1-2 ในพรีเมียร์ลีก ของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่บอร์ดบริหารของ “ปีศาจแดง” จะสั่งปลด “เอริก เทน ฮาก” และแต่งตั้งให้ “รูเบน อโมริม” กุนซือทีมสปอร์ติ้ง ลิสบอน เข้ามารับเผือกร้อน กับตำแหน่งเฮดโค้ชแมนยูฯ คนใหม่อย่างเป็นทางการ

“รูเบน อโมริม” โค้ชหนุ่มชาวโปรตุเกสของ “สปอร์ติง ลิสบอน” เริ่มเข้าสู่เส้นทางผู้จัดการทีมในระหว่างที่กุนซือรุ่นพี่ร่วมชาติอย่าง “โชเซ่ มูรินโญ่” กำลังคุมทัพ “แมนยฯ” และไม่น่าเชื่อว่าอีกเพียง 6 ปี ต่อมา “อาโมริม” จะถูกพูดถึงในฐานะนายใหญ่คนใหม่ของ “ปีศาจแดง”

เทรนเนอร์วัย 39 ปี เคยเป็นที่ต้องการตัวของหลายสโมสร ในระดับท็อป อาทิ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่เคยอยากได้ไปสานงานต่อจาก “เจอร์เก้น คล็อปป์” และ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่วางตัวไว้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” แต่ดูเหมือนว่า “โรงละครแห่งความฝัน” หรือที่เรารู้จักคือ สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด จะเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของกุนซือวัย 39 ปีรายนี้

สมัยเป็นนักเตะ “รูเบน อโมริม” เคยเล่นในตำแหน่งกองกลางมาก่อนให้กับทีมยักษ์ใหญ่ของโปรตุเกสอย่าง “เบนฟิก้า” โดยลงเล่นไปทั้งหมด 95 นัด

ในช่วงชีวิตหลังรีไทร์ เจ้าตัวก็เข้ามาเดินในเส้นทางสายอาชีพโค้ชทันทีกับ “คาซา เปีย” และ “บราก้า” ชุดบี ก่อนที่จะได้รับโอกาสคุมทีมชุดใหญ่ในปี จากนั้นต่อมาในปี 2020 เขาก็ได้รับโอกาสที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตกับการคุมทัพให้กับอีกหนึ่งทีมใหญ่ของประเทศบ้านเกิดอย่าง “สปอร์ติง ลิสบอน”

“รูเบน อโมริม” ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอดจนถึงปัจจุบัน โดยที่ในฤดูกาล 2020-2021 สามารถพา “ลิสบอน”กลับมาคว้าแชมป์ลีกในรอบ 19 ปีของสโมสรได้ ยิ่งไปกว่านั้น “รูเบน อโมริม” คือหนึ่งในกุนซือที่ “เป๊ป กวาร์ดิโอลา” กล่าวยอมรับ ว่าเป็นกุนซือที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในเวลานี้

สำหรับผลงานของ “รูเบน อโมริม” เป็นอีกหนึ่งกุนซือที่มีสไตล์การเล่นเกมรุกดุดัน และเชื่อได้เลยว่า “แมนยูฯ” ในยุคของ “อโมริม” อาจจะต้องกลับมาในยุคแผนการเล่นหลัง 3 ที่พวกเขาไม่คุ้นเคย และเป็นเหมือนของแสลงของพวกเขามาโดยตลอด ซึ่งบทเรียนสำคัญเกิดขึ้นในยุคของ “หลุยส์ ฟาน กัลป์” ในปี 2014-2016 ที่กลายเป็นการรื้อและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จนส่งผลมาถึงยุคหลัง ๆ อย่างเห็นได้ชัด

และการคุมทัพ “ปีศาจแดง” ในครั้งนี้ คือบททดสอบสำคัญที่สุดในอาชีพของ“อโมริม” ถามว่ายากแค่ไหน ก็ต้องใช้คำบ้าน ๆ ว่า “โคตรยาก” เพราะตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา นี่คืองานที่ไม่เคยมีโค้ชคนไหนทำสำเร็จเลยแม้แต่คนเดียว ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด