ปากกาขนนก /สกุล บุณยทัต

“ห้วงเวลาของชีวิต...มีอยู่ขณะหนึ่งที่เตือนใจเราอย่างตั้งใจ..และมีอีกหลายๆขณะที่ได้ผ่านเข้ามากระทบใจ..เราอาจหวั่นไหวได้ทั้งในความคิดและการกระทำที่ “ข้อเตือนใจหรือสิ่งกระทบใจ” เหล่านั้น..ได้แสดงภาวการณ์บางสิ่งออกมาท่ามกลาง..ลมหายใจแห่งความรู้สึกของชีวิต..ก่อนที่จะลาลับไปอย่างฉับพลันทันใดเหนือการอิงแอบสัมผัสอันแท้จริง..

มันคือปรากฏการณ์แห่งการรับรู้ของ “โลกแห่งชีวิต” ที่บรรจุความทรงจำ เอาไว้อย่างติดตรึง..พร่าพรายอยู่กับความรู้สึกนึกคิด และเหวี่ยงซัดอยู่กับโครงสร้างของเจตจำนงที่กระจัดกระจาย..

เมื่อกาลเวลา..เลือนผ่าน..มันได้กลับกลายเป็นเพียงสิ่งเดียวแห่งเครื่องเตือนใจอันพิสุทธิ์..ตอกย้ำให้เราได้เห็นวิถีแห่งสัจจะนานา..ทั้งที่ในความจริงที่เป็นจริงนั้น..

"เวลาไม่เคยคอยใคร..แต่เวลาได้ให้คำตอบที่เรารอคอยได้เสมอ.."

นั่นคือ..นิยามความหมายของเวลา ตลอดจนกาละแห่งโอกาสของมัน..ที่สร้างความเข้าใจในเข้าใจ..อันชวนพินิจพิเคราะห์ ปฐมบท..แห่งเจตจำนงเบื้องต้น..คือดุลยภาพทางความคิด..ที่ปรากฏใน “ข้อเขียนแห่งใจ”..อันงามตระการและลุ่มลึกของนักเขียนความเรียงแห่งการเปิดเปลือยเนื้อในของชีวิตและสังคม ผู้โดดเด่น “วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม”..เจ้าของผลงานแสนกระทบใจอย่าง.. “Everybody Hurts” หรือ “Lonely Me, Lonely You”...!!!

“Only Time Will Tell” ..คือหนังสือแห่งการสร้างสรรค์เล่มใหม่ของเธอ..ที่เหมือนจะบอกกับเราว่า..การบรรลุเป้าหมายในแต่ละเป้าหมายนั้น..ย่อมขึ้นอยู่กับ.. เวลา ณ ปรารถนาส่วนตัวที่ลึกเร้นจริงจัง..มากกว่าสิ่งอื่นใด...!

ว่ากันว่า..การหยั่งเห็นจนบังเกิดเป็นภาวะรู้สึกของเราขึ้นมาได้..แท้จริงย่อมขึ้นอยู่กับ..การเปลี่ยนมุมมองของชีวิต..กระทั่งสามารถส่งผล และนำไปสู่..การประจักษ์แจ้งในความเป็นตัวตนแห่งตัวตนได้มากกว่าเดิม.. มันคือสายทางสำคัญที่ทำให้เรา..กล้าที่จะยอมรับความจริงในประเด็นของ “การเดินทาง” ที่สามารถแปรเปลี่ยนชีวิตให้โน้มเข้าหาและกลายเป็น.. “ความเหมาะสม..เหมาะควร” ในการดำรงอยู่..โดยไม่ทำให้ชีวิต..หน่วงหนักหรือ..ผันแปร..กระทั่งกลายเป็นอื่นจนเกินไป..

“สัญชาตญาณแห่งการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์เป็นเรื่องที่ลึกล้ำ..เป็นเรื่องที่หาเหตุผลอันถูกต้องรองรับได้ยากลำบาก..เหตุดั่งนี้..เราจึงต้องอาศัย..เวลาแห่งเวลา..เพื่อบรรลุถึงนิยามอันเป็น..ปริศนาของมัน..” องค์ประกอบทางความคิดในการกระทำต่อชีวิตของหนังสือเล่มนี้..

“วิไลรัตน์” ได้จัดวางไว้..อย่างเข้าใจ..อิ่มเต็ม เเละมีค่าสู่การรับรู้ในหลากหลายมิติ แต่ละมิติ..มีพลังต่อสำนึกคิดที่สะท้อนถึงแก่นแห่งภูมิปัญญาที่ส่งผลต่อการสร้างคุณค่าต่อก้าวย่างต่อๆไป..ของบุคคล..มันคือข้อวินิจฉัยและข้อสังเกตการณ์...อันสำคัญ..อย่างเช่น..

“คำว่าโลกสวย” ...สำหรับคนอื่นจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ..การมองเห็นและตีความ..แต่สำหรับสังคมของเรา..คำๆนี้อาจเคยมีความหมาย ที่ดีมาก่อน ..และเมื่อไม่นานมานี้เอง..ที่แม้ถ้อยคำจะเหมือนเดิม แต่ความหมายของมันกลับเริ่มเปลี่ยนไป และค่อยๆกลายไปเป็น “ถ้อยคำสวยงามที่น่าเกลียด” ..กลายเป็นคำเหน็บแนมประชดประชัน..กระทั่งเหยียดหยามและดูแคลนผู้อื่น...

..นอกจากนี้..ยังมีการเน้นย้ำถึงความเชื่อที่ว่า..หลายๆคนอาจจะคุ้นชินกับสถานการณ์ประเภทที่ว่า..เมื่อเรากระทำหรือแสดงความคิดเห็นลงไปในเรื่องอะไรสักอย่างด้วยความเชื่อมั่น..!

หรือแม้ว่า...เราจะคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของคนในเมืองใหญ่อย่าง กรุงเทพมหานคร...ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “นครไม่มีวันหลับ” จนได้ชื่อว่าอยู่กับเมืองนี้มานานเนิ่นเกินครึ่งชีวิต..แต่ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า..มันจำเป็นแค่ไหนกับคนเรา..ถึงต้องการใช้ชีวิตในแบบที่ “ไม่มีวันหลับ”.อยู่กันยันสว่างแบบนี้..

ที่ผ่านมา..ต้องยอมรับว่า..จากค่ำมืดลากยาวไปจนถึงย่ำรุ่ง.ของอีกวันหนึ่งมานานแล้ว..หลังจากนั้นก็มีร้านสะดวกซื้อแบบ 24 ชั่วโมง..ก้าวเข้ามาปักธงธุรกิจ..ในบ้านเรา..จนนับได้เป็นเวลานานในระยะหลัง..

“ไม่ว่าจะเป็นยุคใด..การไล่ล่าตามความฝัน การต่อสู้เพื่อทำให้ฝันเป็นจริง ..ก็ยังคงเป็นประเด็น..ที่กระตุกเร้าและกระตุ้นให้ผู้คนตระหนัก..และรักในความฝันที่มีอยู่”

ใครๆ ก็มักจะบอกให้รักษาความฝันของตัวเองเอาไว้ อย่าปล่อยให้มันตายไป..เพราะทุกคนสามารถทำให้ฝันของตัวเองเป็นจริงได้..เราทำได้คุณทำได้..แต่ทำไมคนจำนวนมากถึงไม่พยายาม..

“ไม่มีความฝัน..ก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่กันอย่างไร?..อยู่เพื่ออะไร?..บางคนรู้สึกแบบนี้..แต่ก็ยังสงสัยว่า..ทำไมคนจำนวนมากถึงไม่อยากลุกขึ้นมา..ทำอย่างที่ฝันไว้เสียที..!”

“วิไลรัตน์” ได้แสดงทัศนะต่อปริศนาแห่งชีวิตของผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ว่า..คนที่แข็งแกร่งที่สุดนั้น อาจจะไม่ใช่คนที่ลุกขึ้นมา ใช้พลังไปกับการตอบโต้..คนคิดต่างจะหมดแรงไปในที่สุด..แต่จะเป็นคนธรรมดาที่ก้มหน้าก้มตาทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่น.ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี..เหนื่อยก็พัก และ ไม่เลิกทำ..ไม่เสียพลังงานไปกับการชักชวนคนอื่นให้มาเชื่อ..แต่ใช้มันไปกับการทำสิ่งนั้นต่อไป..ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องกับโลกหรือกับใคร..แต่ทำเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเชื่อว่า..ต้องทำ..

ทั้งนี้ทั้งนั้น..ก็เพราะว่า..ถ้าไม่ทำ ก็ไม่รู้ว่าใครจะทำ..เท่านั้นแหละ..!..คือคนที่แข็งแกร่งที่สุด..ไม่ว่าภายในอกเขาจะดูธรรมดาสามัญเพียงใด? ไม่ว่ารูปทรงของเขาจะดูบอบบางเพียงใด.?.และไม่ว่าสุ้มเสียงของเขาจะแผ่วเบาเพียงไหน?..

“วิไลรัตน์” ได้ระบุย้ำว่า..จากประสบการณ์ตรงของเธอ..เหล่าบรรดาถ้อยคำที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่จะทำให้..ล้มเลิกจากสิ่งที่กำลังทำอยู่..ไม่ว่าจะเป็น..ถ้อยคำประมาณว่า.. “..ทำไม่ได้หรอก..เชื่อสิ..ฉันเคยผ่านมาแล้ว”/หรือ.. “มีความคิดและทำเรื่องนี้มาตั้งแต่สิบปีแล้ว..ยังไม่สำเร็จ..ทำไปก็เท่านั้น ..แหละ!”..ซึ่งแท้จริงก็ไม่อาจรู้ได้ว่า.. เท่านั้นที่บอกกันคือ เท่าไหร่?..ทั้งๆที่ความเป็นไปได้ มันอาจจะเกิดกับคนที่เหมาะสม..ก็เป็นได้..!

ที่สุดแล้ว..หนังสือเล่มนี้ก็ให้ข้อสรุปอันแหลมคมและล้ำลึกแก่เรา..เหมือนเป็นการย้ำเตือนสติที่กระจัดกระจายอยู่ในภาวะที่เคลือบแคลงและไม่มั่นคง..ให้กลับเข้าสู่ห้วงของขณะเวลา..ที่คลี่คลายและสามารถบอกกล่าวถึงความหมายอันตกตะกอนทิ้งของความจริงแท้และความจริงลวง..ผ่านความเชื่อมั่นในเชิงประสบการณ์ และวิสัยศรัทธาของการเอาตัวรอด..ไม่ว่าจะเป็นในห้วงยามใดของชีวิตก็ตาม...ชีวิตที่น่าพอใจ..อาจเป็นแค่การมีใครสักคนที่ใส่ใจ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้แก่กันและกันและเข้ามาช่วยกันทำให้วันธรรมดาของใครสักคน มีความหมายและไม่อาจลืม..

เนื่องเพราะ..ชีวิตที่แท้จริงของคนเรา ย่อมคือ การได้ใช้ชีวิตในจุดที่เหมาะสมกับความเป็นตัวเรามาก เท่าที่เราเป็น..ไกลเท่าที่เราเอื้อมถึง และไม่หนักหนาเกินกว่าที่เราจะแบกรับไหว...

นอกจากนี้..หากใช้หัวใจในการพิจารณาอุบัติการณ์แห่งห้วงขณะเวลา..เราก็จะสัมผัสสำนึกรู้อันแท้จริงในท่วงทำนองที่ว่า.. “จะเป็นหยาดน้ำตาหรือหยาดฝน ก็ต้องมีวันเหือดแห้ง” ..อาจเป็นเพราะ แสงแดดหรือสายลม ทำให้มันแห้งหายไปได้..เช่นกัน..มันจึงเป็นเหมือนดั่งว่า..บางครั้งบทเรียนอันมีค่าของชีวิตที่สุดในชีวิตของคนเรานั้น..ก็ไม่อาจหาได้จากคนอื่น..นอกเสียจากต้องเคยพ่ายแพ้มาก่อนเท่านั้น..

“ในวันที่โลกทั้งโลก..พร้อมจะใจร้ายกับคุณ..คุณก็ยิ่งต้องใจดีกับตัวเอง..และ..ณ เวลานั้น..การเดินทางใดๆของชีวิต..ย่อมหาใช่การให้รางวัลแก่ชีวิต แต่มันคือการ เรียนรู้ถึง ..สัจจะแห่งชีวิตต่างหาก..”

“วิไลรัตน์” สรรค์สร้างหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาด้วยปรากฏการณ์ทางความคิดที่ส่องฉายให้เห็นหนทางแห่งจิตวิญญาณของการมีชีวิตอยู่ อย่างรื่นรมย์และเข้าใจ...แต่ก็มีอยู่หลายขณะ..ที่ความจริงจังหน่วงหนักก่อผัสสะแห่งแรงกระทบใจออกมาออกมาอย่างจัดจ้าน..

นี่คือ “ความเรียงแห่งชีวิต” ที่สื่ออารมณ์ความรู้สึกด้วยปฏิกิริยาแห่งการรับรู้และเรียนรู้อันแยบยล..สื่อสัมพันธภาพ..และดำเนินเจตจำนงด้วย “ความรู้สึกรัก”

ความเหลื่อมซ้อนระหว่างเวลากับเวลา ผสานกับถ้อยคำ ที่อิงแอบอยู่กับ “แสงสว่างทางความคิด” ที่เป็นเนื้อในของความเรียงโดยรวมเล่มนี้..นั่นเป็นบทสะท้อนแห่งจิตปัญญาที่เสริมส่ง ความเสื่อมทรุดแห่งใจของมนุษย์..ให้มีโอกาสได้พบกับ.. “ทางรอดในอยู่รอด” ของมวลมนุษย์ที่ดำรงอยู่เหนือความฝันใดๆ..แท้จริง..!

“..ถ้าอยากขีดฆ่า..ความฝันหลายๆอย่างออกบ้างก็ไม่แปลก..เพราะมันก็อาจดีกว่า..การปล่อยให้ความฝันขีดฆ่า..เราออกไปจากความจริง..”