ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ การเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐฯ 2024 (พ.ศ. 2567) เมื่อกลางสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านมา

โดยในการเลือกตั้งข้างต้น ก็เป็นการเปิดคูหาให้ประชาชนชาวอเมริกันราว 260 ล้านคน ได้ใช้สิทธิลงคะแนนกาบัตรเลือกตั้งในหลายสังเวียนทางการเมืองด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเลือกตั้งประธานาธิบดี เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือสว. เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสส. เลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ รวมถึงเลือกตั้งนายกเทศมนตรี

ผลการเลือกตั้งในสังเวียนทางการเมืองที่จับตากัน ก็คือ เลือกตั้งประธานาธิบดี สว. และสส. ปรากฏว่า ในสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ต้องบอกว่าฉีกโพลล์ พลิกโผ แถมยังหักปากกาเซียน กันเลยก็ว่าได้ เพราะนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรครีพับลิกัน มีชัยชนะเหนือนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัครฯ จากพรรคเดโมแครต ผิดคาดจากการสำรวจความคิดเห็น หรือโพลล์ ที่มีขึ้นก่อนหน้าวันเลือกตั้ง 24 ชั่วโมงที่ออกมาว่า รองประธานาธิบดีแฮร์ริส คะแนนนิยมนำหน้าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เฉลี่ยประมาณร้อยละ 48 ต่อ 47

พร้อมกับหักปากกาเซียน คือ บรรดานักวิเคราะห์ที่ออกมาแสดงทรรศนะว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 นี้จะออกมาคู่คี่สูสีที่สุดในรอบหลายทศวรรษกันเลยทีเดียว

มิหนำซ้ำคะแนนเสียงที่ออกมา ก็ฉีกโพลล์แบบทิ้งห่างพอสมควร ซึ่งจากคะแนนบัตรเลือกตั้งที่ยังนับไม่ครบดี คะแนนเสียงของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ชนะไปที่ร้อยละ 51 เหนือกว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริส ที่ได้ร้อยละ 47.5 พร้อมกันนั้นก็ได้จำนวนคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง หรืออิเล็กทอรัลโหวตในแต่ละรัฐไปเกินกว่า 270 เสียง ซึ่งมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนคณะผู้เลือกตั้งทั้งสิ้น 538 เสียง

ส่งผลให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ หวนกลับเข้าสู่ “ทำเนียบขาว” ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ในวัย 78 ปี และเป็นการกลับเข้าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกคำรบ หลังจากที่เคยดำรงตำแหน่งนี้มามาครั้งหนึ่งแล้วในระหว่างปี 2017 – 2021 (พ.ศ. 2560 – 2564) ก่อนที่ต้องออกจากทำเนียบขาวไป เพราะพ่ายศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 (พ.ศ. 2563) ให้แก่นายโจ ไบเดน ผู้สมัครฯ จากพรรคเดโมแครต

เมื่อกล่าวถึงสถานการณ์ของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยที่ 2 นี้ ต้องถือว่า น่าจะบริหารประเทศสะดวกคล่องตัวยิ่งขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ตามทรรศนะของบรรดานักวิเคราะห์ที่ได้เห็นผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสส. และการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือสว. 2024 นี้

เนื่องจากปรากฏว่า ทั้งสภาผู้แทนราษฎร หรือสส. หรือสภาล่าง ปรากฏว่า พลพรรครีพับลิกัน กำลังมีคะแนนนำเหนือพลพรรคเดโมแครตคู่แข่งอยู่พอสมควร โดยผลการนับคะแนนล่าสุด พรรครีพับลิกัน ได้สส. ไปแล้ว 198 ที่นั่ง ส่วนพรรคเดโมแครต ได้ 180 ที่นั่ง และมีรายงานด้วยว่า พรรครีพับลิกันสามารถแย่งที่นั่ง ส.ส. จากพรรคเดโมแครตมาได้อย่างน้อย 1 ที่นั่งอีกต่างหาก ทำให้พรรครีพับลิกันมีแนวโน้มที่จะเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ แตกต่างจากการเลือกตั้งเมื่อช่วงปี 2017 (พ.ศ. 2560) ที่นายทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก ซึ่งพรรครีพับลิกัน เป็น สส.เสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร ที่มีพรรคเดโมแครตเป็นเสียงข้างมาก ส่งผลให้การบริหารประเทศของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งนี้ ประสบกับอุปสรรคกันพอสมควร จากสส.เสียงข้างมากของพลพรรคเดโมแครต คู่ปรปักษ์

นอกจากพรรครีพับลิกัน มีแนวโน้มว่าจะได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ในสภาซีเนต หรือวุฒิสภา ก็ตกเป็นของพรรครีพับลิกัน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยผลการเลือกตั้ง ทางพลพรรครีพับลิกันได้จำนวน สว. 52 ที่นั่ง มากกว่าสมัยที่แล้ว 3 ที่นั่ง พร้อมกับเป็นเสียงข้างมากในวุฒิสภา ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 100 ที่นั่ง ส่วนพลพรรคเดโมแครต ได้ สว. 42 ที่นั่ง และเสียที่นั่งเดิมถึง 3 ที่นั่ง

กล่าวถึงนโยบายต่างๆ ของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่จะเข้ามาบริหารประเทศเป็นเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมปีหน้านี้ คือ 2025 (พ.ศ. 2568) ไปจนถึงปี 2028 (พ.ศ. 2571) ครบวาระ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นเสียก่อน เพราะนายทรัมป์มีอายุมากแล้ว และยังมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย ถึงขั้นที่เคยถูกลอบยิงสังหาร จนได้รับบาดเจ็บมาแล้ว ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็มีหลายนโยบายที่ได้รับการจับตา ทั้งนโยบายในประเทศ และต่างประเทศ

โดยนโยบายในประเทศที่ถูกจับตานั้น หลักใหญ่ๆ ก็คือ นโยบายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งนโยบายนี้ มีการสำรวจเอ็กซิตโพลล์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า อยู่ในลำดับต้นๆ เลยที่ทำให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง กาบัตรลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครฯ คนใด

นายโดนัลด ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัครฯ พรรครีพับลิกัน เมื่อครั้งรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในนโยบายเกี่ยวกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ให้กลับมามีความมั่งคั่งอย่างแข็งแกร่ง (Photo : AFP)

ทั้งนี้ ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ให้คำมั่นผ่านเว็บไซต์รณรงค์หาเสียงของเขาว่า จะมุ่งเน้นการยุติภาวะเงินเฟ้อให้ได้ พร้อมกับทำให้สหรัฐอเมริกา กลับมาเป็นประเทศที่ประชาชนคนทั่วไปสามารถเข้าถึงทางด้านเศรษฐกิจต่างๆ ในประเทศนี้ได้

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายเกี่ยวกับการขยายพื้นที่สำรวจพลังงาน เพื่อช่วยลดต้นทุนพลังงาน อันจะนำไปสู่การลดราคาสินค้าอุปโภค บริโภคต่างๆ ลง ซึ่งในประเด็นนี้ เป็นการ “แก้ทาง” จากการที่อำนาจของประธานาธิบดีมีจำกัดในการที่จะลดราคาสินค้าต่างๆ ได้โดยตรง ก็ใช้ปัจจัยด้านราคาพลังงาน เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาราคาสินค้าให้ถูกลง

ในนโยบายด้านเศรษฐกิจนั้น ก็ยังมีประเด็นเรื่องภาษี ที่นายทรัมป์ ต้องการขยายมาตรการลดภาษีที่เขาเคยประกาศบังใช้ไปเมื่อปี 2017 (พ.ศ. 2560) ซึ่งจะหมดอายุในปีหน้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ระบบภาษีเรียบง่ายมากขึ้น พร้อมกับช่วยส่งเสริมการลงทุน อันจะนำมาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ส่วนนโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ ก็จะดำเนินมาตรการต่างๆ ที่เข้มงวดมากขึ้นต่อผู้อพยพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้อพยพที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ที่จะมีการเนรเทศต่อผู้อพยพเหล่านี้

นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัครฯ พรรครีพับลิกัน เมื่อครั้งหาเสียงเรื่องการใช้นโยบายที่เข้มงวดต่อผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการใช้วิธีเนรเทศ โดยนายทรัมป์ ยังเปิดโอกาสให้ครอบครัวของผู้ทีเคยได้รับผลกระทบจากผู้อพยพขึ้นกล่าวบนเวทีด้วย (Photo : AFP)

อย่างไรก็ดี ที่นับว่าถูกจับตากันเป็นอย่างมากก็คือ นโยบายต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเด็นการค้าระหว่างประเทศ ที่มีโฟกัสไปที่ “สงครามการค้า” โดยเฉพาะกับจีน รวมถึงสงครามที่มีการสู้รบด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ กันจริง ไม่ว่าจะเป็นสงครามในสมรภูมิยูเครน ที่ทวีความซับซ้อนมากขึ้นจากการที่เกาหลีเหนือเข้ามามีส่วนร่วม และสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่อิสราเอล สู้รบกับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ได้แก่ ฮามาส ฮิซบอลเลาะห์ และอาจจะลามเลยไปถึงอิหร่าน ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ในวาระสมัยนี้

นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อครั้งพบปะกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เมื่อปี 2018 (พ.ศ. 2561) ซึ่งในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายทรัมป์ที่จะมีขึ้นนี้ กำลังเป็นที่จับตาว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ประธานาธิบดีปูติน ยอมยุติสงครามกับยูเครน? (Photo : AFP)

 

นโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับจีน ได้รับการจับตาเป็นอย่างมาก ในยุคที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ว่า จะดุเดือดรุนแรง เหมือนกับที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรกหรือไม่? (Photo : AFP)