ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
ในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีทรัมป์ ให้สัญญาต่อสาธารณะว่าจะสร้างสันติภาพ อย่างน้อยในสมรภูมิที่ร้อนแรง 3 สมรภูมิ นั่นคือ สงครามยูเครน-รัสเซีย ทรัมป์อ้างว่าสามารถยุติได้ภายใน 24 ชม. ซึ่งหลายฝ่ายวิจารณ์ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เชื่อว่าสงครามที่จุดนี้คงจะคลายความร้อนแรงลงไปถึงขั้นมีการเจรจา เพราะถ้าสหรัฐฯภายใต้การนำของทรัมป์ตัดความช่วยเหลือยูเครน ก็เท่ากับบีบยูเครนให้เจรจา ด้วยยุโรปไม่มีกำลังพอสนับสนุนต่อไป แต่ก็มีคนคัดค้านว่าทรัมป์ก็อาจจะถูกสภาคองเกรสบีบด้วยอำนาจควบคุมงบประมาณที่จะทำให้ทรัมป์ต้องส่งเป็นแพ็กเกจเข้าไปสนับสนุนบางส่วนให้ยูเครนอันนี้ก็ต้องดูกันไป
จุดร้อนแรงอีกแห่งคือตะวันออกกลาง ทรัมป์ให้สัญญากับอเมริกันอาหรับในรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นรัฐ Swing State คือพลิกขั้วได้เสมอ ซึ่งในรัฐนี้มีชาวอเมริกันอาหรับอยู่ประมาณ 400,000 คน หากเทคะแนนให้ทรัมป์ก็มีโอกาสชนะในรัฐนี้และอาจนำไปสู่การชนะในภาพรวม ดังนั้นสัญญาที่จะสร้างสันติภาพของทรัมป์ก็ดูดึงดูดใจชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับไม่น้อย แต่ก็มีคำถามว่าทรัมป์จะทำได้หรือ ในเมื่อ Deep State ของขบวนการยิวไซออนิสต์ นั้นคุมการเมืองสหรัฐฯอยู่ โดยเฉพาะในรัฐสภามีทั้งสส.และสว. กว่าครึ่งโปรอิสราเอล แล้วทรัมป์จะเอาอะไรไปหยุดอิสราเอลในการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แม้แต่การไปบีบให้อิสราเอลหยุดยิงก็ดูจะยาก
มาสมรภูมิที่ 3 คือการเผชิญหน้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งรวมทั้งพันธมิตรของทั้ง 2 ฝ่าย เช่น จีนมีรัสเซียและเกาหลีเหนือ สหรัฐฯมีญี่ปุ่น เกาหลีใต้เป็นพันธมิตร แต่จุดแตกหักน่าจะอยู่ที่ไต้หวัน ตรงนี้คนที่จะนำให้เกิดสงครามใหญ่อยู่ที่ไล่ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวัน ที่มีแววว่าจะประกาศอิสราภาพจากจีน ซึ่งเท่ากับการกดปุ่มสงครามทีเดียว อย่างไรก็ตามถ้าเมกาไม่หนุนไต้หวันก็คงไม่กล้าผลีผลาม
กล่าวโดยสรุปแม้ทรัมป์สัญญาว่าจะสร้างสันติภาพ แต่จะทำได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะขึ้นกับคน 3 คน คือ เนทันยาฮู เซเรนสกี และ ไล่ชิงเต๋อ
แต่เอาเถอะทรัมป์อาจจะสร้างสันติภาพในสงครามที่ใช้อาวุธรบกันได้ ทว่าทรัมป์ก็คงไปก่อสงครามในรูปแบบอื่น นั่นคือ สงครามเศรษฐกิจ ซึ่งก็ย่อมกระทบกระเทือนไปทั่วโลกเช่นกัน แม้ไม่ใช่การเข่นฆ่าผู้คน หรือการทำลายอาคารบ้านช่อง แต่ก็ทำให้คนขาดแคลนอาหารหรือรายได้คือตกงานกันได้มากมายทีเดียว
ประการแรกทรัมป์จะใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ เช่น การตั้งกำแพงภาษีสินค้าเข้า (Tarrif)กับสินค้าจากจีน เช่น รถไฟฟ้า ที่ยุโรปขึ้นภาษีนำร่องไปแล้ว ดังนั้นหากใครไม่ทำตามความต้องการของสหรัฐฯ ทรัมป์ก็อาจใช้ภาษีเป็นตัวเล่นงานหรือบีบบังคับ เช่น ใช้ภาษีบีบเม็กซิโก เรื่องคนหลบหนีเข้าเมืองเป็นต้น
ประการต่อมาทรัมป์อาจจะยังคงใช้นโยบายแซงก์ชัน เหมือนไบเดน-แฮร์ริส เช่นใช้นโยบายแซงก์ชั่นจีน เกาหลีเหนือและอิหร่าน
ประการที่ 3 ทรัมป์ ประกาศชัดเจนในเรื่องการสนับสนุนเงินคลิปโต (Crypto Currencies)ซึ่งมีแผนจะเปิดเสรีและคัดค้านระบบเงินดิจิทัล CBDC คือ เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารชาติของแต่ละประเทศและมีหลักทรัพย์หนุนหลัง เช่น ทองคำ ฯลฯ อนึ่งการเปิดเสรีในการขุดเงินดิจิทัลอาจจะมีผลกระทบต่อการเกิดเงินเฟ้อได้ในเวลาไม่นาน เศรษฐกิจจะปั่นป่วนและเกิดการฟอกเงินจากธุรกิจสีเทาหรือสีดำ และนโยบายการเงินของแต่ละประเทศจะหมดความขลังลงเพราะคุมปริมาณเงินไม่ได้
แค่ 3 อย่างนี้ทรัมป์ก็ทำให้โลกป่วนด้วยสงครามเศรษฐกิจได้แล้ว
ส่วนภายในประเทศแนวคิดของทรัมป์คืออเมริกันเฟิสต์คือผลประโยชน์ของคนอเมริกันต้องมาก่อนที่ถูกใจและโปรพวกผิวขาวชนชั้นกลางที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของมะกัน อาจจะนำไปสู่การเหยียดผิว และอาจจะเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐทางเหนือและรัฐทางใต้ เหมือนสมัยอับราฮัม ลินคอล์น ในยุคสงครามกลางเมือง ที่ท่านแอบบี้มีนโยบายให้เลิกทาส ส่วนทรัมป์แอนตี้การอพยพเข้าเมือง โดยเฉพาะคนผิวสี ซึ่งความขัดแย้งนี้มันร้าวลึก มาพอสมควรจนถึงขั้นที่ขู่ว่าจะแยกรัฐกันทีเดียว
ด้านนโยบายภาษีแน่นอนทรัมป์ไปขึ้นภาษีการค้าอันอาจทำให้ราคาสินค้าในประเทศแพงขึ้นจนทำให้เกิดเงินเฟ้อ แต่ทรัมป์จะลดภาษีคนรวยและธุรกิจขนาดใหญ่ ในขณะที่จะใช้ภาษีบีบธุรกิจที่ไปลงทุนต่างประเทศให้กลับสหรัฐฯเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน
อย่างไรก็ตามในสหรัฐฯ การเลือกประธานาธิบดีอยู่ในมือยิวไซออนิสต์ ที่เป็น DEEP STATE มาตั้งแต่ยุคเคนเนดี มาถึงทรัมป์-แฮร์ริส แต่คราวนี้ ข่าวว่าแฮร์ริสได้รับการสนับสนุนจากยิวไซออนิสต์ สายร็อกเฟลเลอร์ วอลลสตรีท ที่มีธุรกิจน้ำมันและธุรกิจอุตสาหกรรมอาวุธ ส่วนทรัมป์ได้รับการสนับสนุนโดยไซออนิสต์สายรอธไซล์ ซิตี้ ออฟลอนดอน ซึ่งคุมธุรกิจการเงิน ดังนั้นไม่ว่าใครจะชนะไซออนิสต์ก็ยังคงคุมอำนาจเพียงแต่นโยบายอาจเอนเอียงไปสนับสนุนธุรกิจของผู้สนับสนุน และนี่เองจึงเป็นภาพสะท้อนว่าถ้าแฮร์ริสชนะ มีแนวโน้มสงครามกระจาย เพราะมันเป็นผลประโยชน์ต่อพ่อค้าอาวุธและน้ำมัน ถ้าทรัมป์ชนะตามที่ทรัมป์ประกาศ คือ สร้างสันติภาพ เพราะฝ่ายธุรกิจการเงินมองว่ามันไม่คุ้มค่าการลงทุนในสงคราม
บัดนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าทรัมป์ได้รับชัยชนะถล่มทลาย และพรรครีพับลิกันก็ได้เสียงข้างมากในสภาสูงส่วนสภาล่างยังไม่ชัดเจนที่จะบอกได้ว่าทรัมป์คุมเบ็ดเสร็จ แต่อย่างไรก็ตาม สภาคองเกรสก็ยังมีอำนาจคุมงบประมาณที่จะต่อรองกับประธานาธิบดีของพรรคตัวเองได้ หากทรัมป์จะใช้เงินช่วยเหลือบีบอิสราเอล ยกเว้นไซออนิสต์สายการเงินจะเห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายมาสู่โหมดสงบศึก นโยบายสร้างสันติภาพของทรัมป์จึงจะได้ผล อีก 2 ประเด็นที่อาจต้องมีการถกเถียงกันในพื้นที่สาธารณะคือเรื่องคดีความของทรัมป์ และการสร้างกำแพงกั้นเม็กซิโก คงต้องติดตาม
ขณะเขียนบทความทรัมป์ได้คะแนนอิเล็กโทรรัลโหวด277แล้ว แฮร์ริสได้เพียง 224ในขณะที่ทรัมป์ยังคงนำอยู่ในบางรัฐที่ยังนับไม่ครบ ด้านคะแนนป๊อปปูล่าร์โหวดทรัมป์ได้อย่างน้อย72ล้านเสียง
จากตัวเลขผู้มีสิทธิออกเสียง 186 ล้าน อายุตั้งแต่ 18 นี้แต่มีผู้สละสิทธิ์ในการเลือกประธานาธิบดีคนที่ 47 ถึง 77 ล้านคน ในขณะที่จะมีผู้ออกเสียงให้ Jill Stein พรรคกรีนมากกว่าปกติ ส่วน Chase Oliver จากพรรค Libertarian คงได้คะแนนไม่มาก เพราะระบบการเมืองสหรัฐฯมันเป็นระบบผูกขาดให้กับพรรค 2 พรรค คือ เดโมแครต กับรีพับลิกัน แม้คนมะกันจะเบื่อหน่ายผู้สมัครจากทั้ง 2 พรรค อย่างไรก็หนีไปเลือกพรรคที่ 3 ยาก แต่หากเปลี่ยนเป็นระบบเลือกจากคะแนนประชาชน One Man One Vote การเมืองในสหรัฐฯ อาจะเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นนัยสำคัญ และอาจพ้นมือ Deep State ยิวไซออนิสต์ก็ได้