วันที่ 7 พ.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วิมล ไทรนิ่มนวล ระบุว่า...
“รักในวัยชรา!”
ในช่วง 5 ปีมานี้ เพื่อนตัวเป็น ๆ 3 คนของผม ชาย 2 หญิง 1 ปรึกษาเรื่องความรักของหัวใจว่า “จะดีไหม - จะเป็นไง ถ้าจะไปอยู่กับคนที่ใช่”
เหตุที่ปรึกษาก็เพราะแต่ละคนนั้นอายุมากแล้ว ชาย 2 คนนั้นปลดเกษียณแล้ว ส่วนหญิงอายุ 55 เขาและเธอกลัวว่ารักในวัยชราจะไม่ยั่งยืน และเกรงปากคนว่า อายุมากแล้วยังจะมีผัวมีเมียเมียอีก!
ผมเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องผัว-เมียอย่างหนุ่มสาว แต่เป็นเรื่อง “เพื่อนชีวิต” ในวัยที่ไม่มีใครมากกว่า
ผมสนับสนุน...แต่ก็บอกด้วยว่า ระวังจะมีเหตุให้รักไม่ยั่งยืน เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนมากก็หงุดหงิด อ่อนไหว ใจน้อย เอาแต่ใจตน จนผรุสวาทใส่กันแทนมธุรสวาจาดั่งแรกรัก
หลายคู่นิสัยแตกต่างกันมากเกิน ไม่เป็นปีเป็นขลุ่ยเหมือนช่วงโปรโมชั่น
บางคนเจ็บป่วยบ่อย อีกคนก็เหนื่อยและเบื่อที่จะดูแล จึงไม่อยากรับภาระ เพราะตัวเองก็อายุมากเช่นกัน
บางคน “หลง” ตามประสาผู้สูงอายุ พูดอย่างนั้นก็ว่าพูดอย่างนี้ กินแล้วก็ว่ายังไม่ได้กิน อึ๊บแล้วก็โวยวายว่ายังไม่ได้อึ๊บ แถมยังไปฟ้องแม่ค้าที่ปากซอยอีก!
บางคนบ่นพล่ามไปเรื่อยทั้งวันทั้งคืน บางคู่ต่างก็ทำอะไรก็ไม่ถูกใจตนจึงทะเลาะกัน
สุดท้ายทั้งหมดนั้นก็ต่างคนต่างไป
แต่จะไปไหน?
ถ้าใครยังมีบ้านเดิมอยู่ก็กลับไปอยู่ได้ แต่ถ้าขายไปแล้วเพื่อเอาเงินมาอยู่ด้วยกัน เพราะหวังว่าจะยั่งยืนจนวันตายก็ไม่มีที่ไป ถ้ามีลูกหลานสำนึกดีก็พึ่งพาได้ แต่ถ้าไม่มี....ที่พำนักสุดท้ายก็คือวัด!
ผมตระนักเรื่องนี้มาเมื่อประมาณ 7 ปี เมื่อหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า ผัวทิ้งเมียเดิมไปอยู่กับเมียน้อย ผ่านไป 2 ปี เมียน้อยก็เอาใส่รถเข็นไปทิ้งไว้ที่กองขยะ!
ผมก็คิดว่าต้องมีเหตุใดเหตุหนึ่งหรือหลายเหตุจากที่ผมว่ามานั่นแหละ ทำให้เขาถูกทิ้ง
และมันทำให้ผมกลัวไปด้วย กลัวความชรา และกลัวถูกทิ้ง!
มันเป็นเรื่องยากที่ผู้สูงอายุจะอยู่ด้วยกันจนวันตาย จะปรับเปลี่ยนนิสัยก็ยากแล้ว ผมจึงบอกเขาว่าจะไปอยู่กับใคร จะหวังว่ายั่งยืนจนวันตายจากกันก็ได้ แต่อย่าทำลาย “ฐานที่มั่น” ของตน คือที่อยู่อาศัย-ถ้ามี เพราะเมื่อไปกันไม่รอดก็จะได้กลับมา
อย่างน้อยก็ยังมีที่ให้นั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า และนอนเลียแผลแก้เหงาในวัยชรา!