ก.วัฒนธรรมชวนเที่ยว 4วัด 1วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ โบราณสถานยามค่ำคืนในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 67 น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม เป็นประธานแถลงข่าวโครงการ “4วัด 1วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ” พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) กรมศิลปากร ที่จะจัดขึ้น ณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ระหว่างวันที่ 9-17 พฤศจิกายน นี้
สำหรับเที่ยว 4 วัด 1 วัง เมื่อครั้งต้นกรุงฯ ประกอบด้วย วัดไชยวัฒนาราม วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ วัดพระราม และพระราชวังจันทรเกษม ซึ่งปัจจุบันโบราณสถานทั้ง 5 แห่ง ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมยามค่ำคืนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม โดยจะเปิดให้เข้าชมทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ รวมทั้งวันหยุดนักขัตฤกษ์และในช่วงเทศกาล ในส่วนของกิจกรรมดังกล่าว ภายใต้แนวคิด เมื่อครั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต สื่อโซเซียล ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ความสุขหรือมโหรสพของคนในยุคนั้นมีอะไรบ้าง จึงได้จัดให้มีกิจกรรมทางวัฒนธรรม การละเล่นย้อนยุค อาทิ การแสดงโขน การแสดงละครนอก โดยสำนักการสังคีต การสาธิตช่างฝีมืออย่างไทยโบราณโดยสำนักช่างสิบหมู่ การแสดงหนังใหญ่จากวัดขนอน จ.ราชบุรี
นอกจากนี้ในวันที่ 10 พฤศจิกายน เป็นวันเปิดงาน วธ.จะจัดรถไฟขบวนพิเศษจากสถานีหัวลำโพงมายังอยุธยา โดยจะมีการแวะชมสถานที่สำคัญในเขตอ.บางปะอิน พร้อมทั้งร่วมถ่ายภาพแบบย้อนยุค ณ สถานีรถไฟบางปะอินหลังเดิมที่สร้างขึ้นตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 5 โดยห้องภาพฉายานิติกร และมีการแสดงโขนในค่ำคืนนั้นด้วย อีกกิจกรรมการประกวด “แมวไทยโบราณคืนถิ่นกรุงศรี” ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จะจัดขึ้นในช่วงกลางวัน โดยเป็นความร่วมมือกับสมาคมแมวไทยโบราณนานาชาติ
สำหรับวันที่ 15 พฤศจิกายน จะมีกิจกรรมลอยกระทงที่วัดไชยวัฒนาราม กิจกรรมประกวดนางนพมาศที่วัดพระรามแล้ว ไฮไลท์สำคัญ จะมีการเสกน้ำพระพุทธมนต์จันทร์วันเพ็ญ ซึ่งเป็นการทำพิธีเสกน้ำที่ตักจากแหล่งน้ำหน้าวัดสำคัญ 9 แห่ง ในจ.พระนครศรีอยุธยา ที่จะปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์ จำนวน 5 รูป นำโดยพระอาจารย์โชติ วัดพุทไธศวรรย์ เกจิชื่อดัง ในการปลุกเสก องค์พ่อจตุคามรามเทพ ทำพิธี ณ พระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ ในเวลาฤกษ์ 19.09 น. และจะนำน้ำพระพุทธมนต์ กว่า 2,000 ขาด แจกจ่ายประชาชนที่มาร่วมงานด้วย
ทั้งนี้กรุงศรีอยุธยาอดีตราชธานีที่ยังคงเหลือไว้ซึ่งโบราณสถาน โบราณวัตถุที่เป็นรากเหง้าของศิลปวัฒนธรรมไทยและยังได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกจากองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ตั้งแต่ พ.ศ. 2534 โดยอุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย แต่ละปีมีผู้มาเยือนทั้งชาวไทยและต่างประเทศไม่ต่ำกว่าปีละ 3 ล้านคน สามารถจัดเก็บค่าเข้าชมได้มากกว่าปีละ 100 ล้านบาท สร้างรายได้ให้ จ.พระนครศรีอยุธยาและประเทศไทย