"โดนัลด์ ทรัมป์" ผงาดนั่งประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 47 หลังกวาดคะแนนอิเล็กทอรัลโหวต 270 ได้ก่อน "กมลา แฮริส" รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ที่พ่ายยับศึกเลือกตั้งทั้งสภาผู้แทนฯ และสภาซีเนต หลัง “รีพับลิกัน” กวาดชัยพร้อมแย่งที่นั่งได้เพิ่มในสภาสูง

เมื่อวันที่ 6 พ.ย.67 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานการแลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2024 เมื่อเวลา 18.00 น. ของวันที่ 5 พ.ย.67 (ตามเวลาท้องถิ่น) ระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลีกัน และนางกมลา แฮริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต

ปรากฏว่า ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ (คนที่ 47) ภายหลังชนะการเลือกตั้ง (อย่างไม่เป็นทางการ) กวาดอิเล็กทอรัลโหวต  (Electoral Vote) ได้ผู้แทนเลือกตั้ง 270  ส่วน แฮริส ได้ ... และ ทรัมป์ ยังกลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกนับตั้งแต่ โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ในปี 2436 ที่สามารถคว้าชัยชนะเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 แบบไม่ติดต่อกัน

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากทราบผลการนับคะแนนแล้ว ทรัมป์ ได้เดินทางไปยังศูนย์การประชุมในเมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดา เพื่อกล่าวปราศรัยต่อผู้สนับสนุน

ด้าน ทีมหาเสียงของรองประธานาธิบดี แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต ประกาศว่า แฮร์ริสจะยังไม่กล่าวปราศรัยต่อผู้สนับสนุน แต่จะไปกล่าวในวันพุธแทน หลังจากที่มีรายงานก่อนหน้านี้ว่า แฮร์ริสจะกล่าวต่อผู้สนับสนุนไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม

"ทุกท่านจะยังไม่ได้รับฟังรองประธานาธิบดีในคืนนี้ แต่จะเป็นวันพรุ่งนี้" เซดริก ริชมอนด์ รองประธานร่วมทีมหาเสียงของแฮร์ริส กล่าว

ด้าน ผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือสภาซีเนต (สว.) อันเป็นสภาสูงของสหรัฐฯ ปรากฏว่า พรรครีพับลิกัน ได้รับชัยชนะมากถึง 51 เสียง ซึ่งเป็นจำนวนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งจากจำนวนทั้งสิ้น 100 เสียง และทางพรรครีพับลิกัน ได้ที่นั่ง สว.เพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้วมา 2 ที่นั่ง หรือ 2 เสียง จากเดิมที่มีจำนวน 49 ที่นั่ง

ขณะที่ ทางพรรคเดโมแครต ได้ที่นั่ง สว.ที่นับคะแนนมาถึงตอนนี้เพียง 42 เท่านั้น โดยได้เสียที่นั่ง สว.ให้แก่พรรครีพับลิกันแล้ว 2 ที่นั่งด้วยกัน โดยจากเดิมพรรคเดโมแครต มีที่นั่ง สว. จำนวน 47 ที่นั่ง

สำหรับ ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือส.ส. ของสหรัฐฯ จากการนับคะแนนล่าสุด ทางพรรครีพับลิกัน ได้ที่นั่ง ส.ส.ไปแล้ว 190 ที่นั่ง ส่วนพรรคเดโมแครตได้ 160 ที่นั่ง โดยของเดิมนั้น พรรครีพับลิกัน มีจำนวน ส.ส. 220 ที่นั่ง และพรรคเดโมแครต มีจำนวน 212 ที่นั่ง

ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้ง สว. และส.ส.ที่ออกมา จะส่งผลต่อการบริหารประเทศของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ ในการผ่านร่างกฎหมายต่างๆ

สำหรับนโยบายของ ทรัมป์ มีดังนี้ ด้านต่างประเทศ เสนอว่าความมั่นคงของยูเครนเป็นผลประโยชน์สำคัญของสหรัฐฯ และเคยกล่าวว่า เขาสามารถยุติสงครามได้ภายใน 24 ชั่วโมง แต่ไม่ได้บอกวิธีการ

นอกจากนี้ เป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขัน ย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ไปยังเยรูซาเล็ม สมัยเป็นประธานาธิบดีเขาดูแลอิสราเอลทำข้อตกลงกับหลายชาติอาหรับโดยไม่ได้สนใจชาวปาเลสไตน์ แน่นอนว่าเขาสนับสนุนให้อิสราเอลต่อสู้กับฮามาสในกาซา แต่บอกด้วยว่าความขัดแย้งควรยุติลงโดยเร็ว

ด้าน องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ทรัมป์ ขู่จะถอนตัว และขอให้ยุโรปชดใช้เงินค่าอาวุธเกือบ 2 แสนล้านดอลลาร์ ที่ส่งไปยูเครนแก่สหรัฐฯ ที่ปรึกษาทรัมป์คนหนึ่งเสนอให้มีระบบป้องกันแบบแบ่งชั้น

นโยบายกับจีน ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ส่อเค้าจุดชนวนสงครามการค้ารอบใหม่ เขาพยายามกีดกันบริษัทจีนไม่ให้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และเทคโนโลยี

ส่วนประเด็นไต้หวัน สมัยเป็นประธานาธิบดีทรัมป์เปิดกว้างให้มีการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างนักการทูตอเมริกันกับไต้หวัน สร้างความไม่พอใจให้กับจีน ในปี 2023 ทรัมป์ไม่ยอมตอบว่า เขาจะปกป้องไต้หวันหรือไม่ ถ้าถูกจีนรุกราน

สำหรับ ทรัมป์ มีชื่อเต็มว่า โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ (Donald John Trump) เกิดวันที่ 14 มิถุนายน 1946 เป็นบุตรคนที่ 4 จากพี่น้องทั้งหมด 5 คน บิดาคือ เฟรดเดอริก คริสต์ ทรัมป์ (Frederick Christ Trump) ผู้ประสบความสำเร็จอย่างมากกับกิจการอสังหาริมทรัพย์สำหรับชนชั้นกลาง และมารดาคือแมรี่ แอนน์ แมคลีโอด ทรัมป์ (Mary Anne MacLeod Trump)

ทรัมป์ เข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม (Fordham University) ก่อนจะย้ายไปเรียนสาขาเศรษฐศาสตร์ที่โรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน (Wharton School) ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียจนสำเร็จการศึกษาในปี 1968 หลังจบการศึกษา ทรัมป์กลับมาช่วยพ่อทำธุรกิจที่นิวยอร์ก และสืบทอดกิจการเต็มตัวในปี 1971 ก่อนจะคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 มาครองได้สำเร็จในปี 2016