เจ๊อ้อยรุดให้ปากคำพนักงานสอบสวนเป็นครั้งที่ 4 ย้ำไม่เคยให้เงิน 71 ล้าน ทนายคนดังโดยเสน่หา ด้าน "ทนายตั้ม" บุกกองปราบฯ แจงเงิน 39 ล้าน ค่าศิลปินจีน ที่แท้เป็นมิจฉาชีพหลอกเจ๊อ้อย ยันทำตามคำสั่งเจ้าของเงิน บอกไม่ขอเคลียร์ เผยถูกตำรวจกดดันตามประกบถึงบ้าน

         
ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อวันที่ 5 พ.ย.67 นางจตุพร อุบลเลิศ หรือ "เจ๊อ้อย" พร้อมด้วย นายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความส่วนตัว เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ รอง ผบก.ป. ,พ.ต.อ. สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป. เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมในคดีที่แจ้งความเอาผิด นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" หลอกลวงเงิน เป็นวันที่ 4โดย นายสมชาติ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเจ๊อ้อยให้ปากคำตำรวจไปทุกประเด็นแล้ว แต่วันนี้จะเป็นการให้ข้อมูลเพิ่มเติมลงไปในรายละเอียดเพื่อให้เกิดความรัดกุมมากขึ้น ส่วนไหนที่ยังตกหล่นอยู่ก็จะส่งต่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นปมเงิน 71 ล้าน ทั้งในส่วนของพฤติการณ์และเส้นทางการเงิน
         
สำหรับภาพรวมสอบปากคำไปแล้ว 80% ที่เหลืออีก 20% ซึ่งคาดว่าหากให้ปากคำเสร็จสิ้นภายในวันนี้ก็น่าจะมีความชัดเจนเรื่องการออกหมายเรียกหรือหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ส่วนจะเป็นใครบ้าง จำนวนกี่คน และในข้อหาใดบ้างนั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวนจะพิจารณา เพราะปมเงินที่แจ้งความมีหลายยอด ทั้งเงิน 71 ล้านบาทเพื่อนำไปลงทุนธุรกิจลอตเตอรี่ออนไลน์ , ค่าจ้างศิลปินชาวจีนมาแสดงในไทย 39 ล้านบาท แต่กลับไม่มีการว่าจ้างเกิดขึ้นจริง ซึ่งเส้นเงินนี้เชื่อมโยงกับ ส. ด้วย , ค่าออกแบบสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท , ค่ารถเบนซ์ 13 ล้านบาท ,และค่าออกแบบบ้านสามีของเจ๊อ้อย 3 ล้านบาท ซึ่งแต่ละยอดต่างกรรมกัน ก็อาจมีการแจ้งข้อหาแตกต่างกันได้ตามพฤติกรรมการกระทำผิด
         
ทั้งนี้ จากที่พูดคุยกับเจ๊อ้อยก็ยืนยันว่าเจ้าตัวไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัย และเชื่อมั่นในตำรวจ และยืนยันว่าเจ๊อ้อยไม่เคยบอกทนายตั้มว่าเป็นการให้โดยเสน่หาแน่นอน ส่วนด้านทนายตั้ม ส่วนตัวเชื่อว่ายังอยู่ในประเทศไทย แต่ที่ยังเก็บตัวเงียบหลายวันก็อาจจะกำลังเตรียมตัวต่อสู้คดีอยู่
        
 วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ได้ปรากฎตัวครั้งแรกที่กองบังคับการปราบปราม หลังตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาหลอกเอาเงินจาก "เจ๊อ้อย" และเก็บตัวเงียบมานานนับสัปดาห์ ทนายตั้ม กล่าวว่า ตนไม่ได้หายไปไหน ที่สื่อมวลชนติดต่อไม่ได้เพราะตนเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ หลังถูกสื่อมวลชนสำนักหนึ่งตามไปคุกคามความเป็นส่วนตัวถึงที่บ้าน ซึ่งตนอยู่บ้านมาตลอด ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศตามที่มีข่าว เงินในบัญชีก็ไม่เคยถอนออก ยืนยันในความบริสุทธิ์ และวันนี้สมัครใจเข้าพบพนักงานสอบสวนเอง ไม่ได้มาตามหมายเรียก เพราะรอหมายเรียกมาตลอด ตำรวจก็ไม่ออกหมายเรียกสักที แต่เมื่อคืนกลับส่งตำรวจมาตามตนไปถึงร้านสะดวกซื้อ ตอนเช้าก็ส่งตำรวจมาอีก 2-3 คันรถ ทั้งที่ตนอยู่บ้านทุกวัน เมื่อตนไปคุยเชิญให้เข้าตรวจค้นบ้านได้ไม่จำเป็นต้องมีหมาย ตำรวจก็ปฏิเสธและเดินทางกลับ รู้สึกไม่สบายใจ จึงมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ข้อมูลเองส่วนที่ก่อนหน้านี้ไม่มีการประสานขอเข้าพบตำรวจ เนื่องจากตนเคยทำหนังสือขอให้ตำรวจสอบปากคำผู้กล่าวหาและพยานให้เต็มที่ก่อน เพื่อให้ตำรวจมีเวลาในการดำเนินการเต็มที่ โดยตนยังขอให้แยกสอบพยานและบันทึกวิดีโอเป็นหลักฐานไว้ด้วย เพื่อป้องกันการซักซ้อมเตรียมคำให้การ แต่ในเมื่อตำรวจตามไปถึงบ้านตนเอง แสดงว่าตำรวจมีเรื่องอยากคุย ตนจึงเดินทางมา
        
 ทนายตั้ม ได้ชี้แจงเรื่องเงิน 39 ล้านบาท ค่าว่าจ้างศิลปินจีนมาไทยว่า ความจริงแล้วตรงกันข้ามกับข้อมูลที่มีการนำเสนอมาทุกอย่าง เพราะเรื่องจริงคือเจ๊อ้อยได้ไปกดไลค์ไอจี "เฉินคุน" ดาราจีนคนหนึ่ง จากนั้นก็มีบุคคลอ้างเป็น "เฉินคุน" ทักข้อความมาตีสนิทกับเจ๊อ้อยนานนับปี จนเจ๊อ้อยอยากจะให้บุคคลดังกล่าวมาหาที่ไทย และให้ตนช่วยโอนเงินให้อีกฝ่าย เพราะอีกฝ่ายให้โอนเป็นสกุลเงินดิจิทัล ตนไม่เชี่ยวชาญจึงให้น้องอีกคนชื่อนุเป็นคนดำเนินการให้ แต่เมื่อโอนเงินให้อีกฝ่ายไปแล้ว อีกฝ่ายกลับไม่ยอมมา และให้โอนเงินเพิ่มเป็นค่าบอร์ดี้การ์ด ตนเริ่มเอะใจว่าอาจเป็นสแกมเมอร์ แต่เจ๊อ้อยืนยันจะให้โอนอีก ตนจึงต้องยอมโอน แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มา ตนลองไปสืบค้นข้อมูล ขอเบอร์จากผู้จัดการดาราชื่อดังของไทย เพื่อประสานงานกับผู้ประสานงานศิลปินจีน ก็ได้รับข้อมูลว่าไม่น่าจะใช่ "เฉินคุน" ตัวจริง เพราะปกติดาราจีนจะไม่มีการทักข้อความหาแฟนคลับลักษณะนี้ และช่วงเวลาที่พูดคุยกัน "เฉินคุน" กำลังฝึกสมาธิอยู่ในป่า ตนจึงพยายามจะให้เจ๊อ้อยพูดคุยกับผู้ประสานงานดาราจีนคนดังกล่าว เพื่อให้เชื่อว่าที่คุยกันนั้นเป็นแสกมเมอร์ ไม่ใช่ "เฉินคุน" จริงๆ แต่เจ๊อ้อยก็ไม่เชื่อ ตนก็ไม่อยากยุ่งแล้ว เจ๊อ้อยจึงไปคุยกันเองและโอนเงินให้เพิ่มอีก
       
ปมเงิน 71 ล้านบาท ยังยืนยันในคำเดิมว่าเป็นเงินที่ได้โดยเสน่หา คือได้รับโดยไม่มีสัญญาผูกมัดผูกพันธ์ และหลังสอบปากคำผู้กล่าวหามาหลายวัน ก็เชื่อว่าเรื่องนี้ตำรวจน่าจะพอรู้แล้วว่าข้อเท็จจริงคืออะไร สอดคล้องกันหรือไม่กับหลักฐานที่มี
         
ทนายตั้ม กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องค่าออกแบบต่างๆ นั้น จะเป็นการฉ้อโกงได้อย่างไร ในเมื่อตนเองรับงานมา ก็ทำใบเสนอราคา และส่งมอบงานทุกโครงการตามสัญญาครบถ้วน ส่วนกรณีรถที่บอกว่าตนเองนำไปเข้าไฟแนนซ์ และนำไปปล่อยเช่าให้กลุ่มทุนจีนสีเทานั้น ก็ไม่เป็นความจริง สามารถตรวจสอบเล่มทะเบียนรถได้ว่ารถคันดังกล่าวเป็นชื่อของเจ๊อ้อยตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ตนจะนำไปเข้าไฟแนนซ์และให้ชาวจีนเช่าได้อย่างไร และตลอดเวลาที่ใช้รถคันดังกล่าวก็มีภรรยาของตนเองประกบติดกับเจ๊อ้อยมาตลอด อีกทั้งตนก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินขนาดต้องเอาไปให้กลุ่มทุนจีนเทาเช่า
         
ผู้สื่อข่าวถามว่า มาพบตำรวจในวันนี้ พร้อมจะเผชิญหน้ากับเจ๊อ้อยหรือไม่ ทนายตั้ม ตอบเพียงว่า ยังไม่พร้อมคุย ไม่รู้จะคุยอะไร วันนี้แค่อยากมาพบตำรวจเท่านั้น