นายกฯ รับเศรษฐกิจไทย เจอปัญหารุมเร้ารอบด้าน กำชับผลักดันเม็ดเงินลงทุน 9.6 แสนล้าน สู่ระบบเศรษฐกิจ กระตุ้น จีดีพี ประเทศ ขณะที่ เลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ล่มรอบสอง นัดใหม่ 11 พ.ย. หลังม็อบกองทัพธรรม-3 เครือข่าย บุก ธปท. ลุยยื่นหนังสือคัดค้านการเมืองแทรกแซง พิชัย ปัดไม่รู้ชงเปลี่ยนชื่อชิงประธานบอร์ดแบงก์ชาติเป็น พงษ์ภาณุ ขอทุกฝ่ายคุยกัน เน้นประโยชน์ของประเทศเพื่อให้กระบวนการเดินหน้า

         ที่กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 4 พ.ย.67 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2567 โดยมี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง รอให้การต้อนรับ
       

 ทั้งนี้ นายกฯ กล่าวว่า ในวันนี้ที่มาประชุมถือได้ว่ากระทรวงการคลังเป็นเสาหลักทางการคลังของประเทศ เพื่อที่จะพัฒนาเรื่องเศรษฐกิจให้ยั่งยืนต่อไป และในช่วงท้ายจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อหารือเรื่องมาตรการด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
     

 ในวันนี้เศรษฐกิจไทยรอบนี้เจอปัญหารุมเร้าหลายด้าน ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานามและความท้าทายใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองโลก ดังนั้นวันนี้เราจึงต้องแก้ไขส่วนที่เป็นปัญหาสะสม พร้อมกับสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเศรษฐกิจของประเทศเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น โดยแน่นอนเครื่องมือที่สำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจคือการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะงบลงทุนที่มีมูลค่าถึง 9.6 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นมูลค่าร้อยละ 5 ของลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ประเทศ จึงขอให้ทุกคนในฐานะผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานร่วมกันผลักเม็ดเงินการลงทุนทุกบาทลงสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อสร้างจีดีพีให้ประเทศและสร้างรายได้ให้ประชาชน
   

     ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการนัดประชุมกรรมการเลือกประธานและกรรมการ ธปท. หลังจากมีการเลื่อนการประชุมมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ล่าสุด นางวิเรขา สันตะพันธุ์ เลขานุการคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ประธานกรรมการคัดเลือกได้หารือกับกรรมการคัดเลือก และเห็นร่วมกันว่าต้องใช้เวลาในการพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้านครบถ้วน เพื่อให้การประชุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงให้เลื่อนกำหนดการประชุมที่จะมีขึ้นในวันเดียวกันนี้ ออกไปเป็นวันที่ 11 พ.ย.67
 

       ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีกลุ่มมวลชนและตัวแทนจาก เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ(คปท.)ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน(ศปปส.)และกองทัพธรรม เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงถึงความกังวลว่าการเมืองจะแทรกแซงการทำงานของธปท.
   

     ต่อมา เวลา 10.50 น. นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) ได้ยื่นหนังสือให้กับ น.ส.ดวงพร รอดเพ็งสังคหะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร ตัวแทน ธปท.รับมอบรายชื่อหนังสือคัดค้าน
     

   โดย นายพิชิต กล่าวว่า คปท. ขอเรียกร้องให้ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ด "ลาออก" ในคณะกรรมการสรรหา เพราะเป็นผู้มีมลทิน อย่างไรก็ตาม ทราบว่าวันนี้มีการเลื่อนประชุมเพื่อคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติออกไปเป็นวันที่ 11 พ.ย. ซึ่งเครือข่ายจะมาแสดงเจตจำนงค์อีกครั้ง ในวันดังกล่าว ซึ่งหากไม่ได้รับการตอบรับก็จะมีการยกระดับการชุมนุมต่อไป
   

   เราเรียกร้องให้นายสถิตย์ลาออกจากคณะกรรมการสรรหา เพราะเราเห็นว่ามันผิดฝาผิดตัวตั้งแต่กรรมการสรรหาแล้ว วันนี้จึงขอยื่น 20,999 รายชื่อ ให้กับกองเลขาฯ ของธปท. เพื่อนำเสนอที่ประธานสรรหาต่อไป
       

 วันเดียวกัน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสรรหาเลื่อนการประชุมเพื่อสรรหาประธาน (บอร์ด) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกไปเป็นวันที่ 11 พ.ย.และมีกระแสข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนรายชื่อจาก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็น นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่า ส่วนตัวไม่ทราบรายละเอียดเรื่องดังกล่าว ส่วนจะมีการเสนอรายชื่อใหม่จริงหรือไม่นั้น มองว่าเป็นเรื่องที่ผู้ที่รับผิดชอบทั้งหมดจะต้องคุยกัน ซึ่งในเรื่องนี้เป็นอำนาจของกรรมการสรรหา และกระทรวงคลัง รวมถึง ธปท. จะพิจารณา

  ส่วนกรณีที่กระแสสังคมมองว่าการที่กระทรวงการคลังเสนอชื่อนายกิตติรัตน์เข้าชิงตำแหน่งประธานบอร์ด ธปท. นั้น ซึ่งนายกิตติรัตน์มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมือง และพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจจะเป็นโอกาสให้เข้ามาล้วงเงินคงคลังได้ง่ายขึ้นนั้น นายพิชัย ระบุว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน และไม่สามารถล้วงเงินคงคลังได้