เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 4 พ.ย. 67 ที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร่วมประชุมกับหัวหน้าและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลโดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง  นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) นายสุวัน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคกล้าธรรม (กธ.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.) และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เข้าร่วมด้วย

 

จากนั้นเวลา 15.00 น. นายกฯ แถลงภายประชุมร่วมกับหัวหน้าและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลว่า “ ขอยืนยันว่า เกาะกูดเป็นของประเทศไทยและเป็นมาตั้งนานแล้ว กัมพูชาก็รับรู้เช่นกัน ว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย ตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส แน่นอนว่ารัฐบาลนี้จะไม่ยอมเสียพื้นที่ของประเทศไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไปให้ใครก็ตาม เรื่องเกาะกูดระหว่างกัมพูชาเอง เราไม่เคยมีปัญหาและไม่มีข้อสงสัยด้วย แต่อาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันของประเทศไทยเอง“ 

 

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เรื่องบันทึกข้อตกลงไทย-กัมพูชา หรือ เอ็มโอยู 44 ยังอยู่ ไม่สามารถมีการยกเลิกได้ เพราะการยกเลิกต้องใช้การตกลงระหว่าง 2 ประเทศคือประเทศไทยและกัมพูชา ถ้าเรายกเลิกเองก็จะถูกฟ้องร้อง 

 

เมื่อถามว่า รัศมีรอบเกาะกูดในพื้นทะเลเป็นของเราอย่างไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เอ็มโอยู 44 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกาะกูด เรื่องนี้ไม่ได้มีการถกเถียง เพราะเกาะกูดเป็นของไทย และหากไปดูการตีเส้น เขาก็ตีเส้นเว้นเกาะกูดไว้ให้เรา ซึ่งการพูดคุยกันในวันนี้ไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับที่ดิน แต่พูดถึงที่ดินในทะเลว่าสัดส่วนใครขีดเส้นอย่างไร เพราะในเอ็มโอยูขีดเส้นไม่เหมือนกัน เนื้อหาในเอ็มโอเป็นข้อตกลงร่วมกันว่าจะมีการเจรจากันระหว่าง 2 ประเทศ  

 

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ดังนั้นหากจะเกิดอะไรขึ้นจะมีข้อตกลงอะไรเราต้องมีคณะทำงานขึ้นมาพูดคุยกัน ตอนนี้คณะกรรมการของกัมพูชามีอยู่แล้ว แต่ของเราเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ก็ต้องเปลี่ยนคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ไทย-กัมพูชาด้วย และตั้งแต่ สมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี มีคณะกรรมการนี้เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจัดตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวอยู่ ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะนาน เพราะดำเนินการมาประมาณ 1 เดือนแล้ว เมื่อเสร็จแล้วจะได้ศึกษาและพูดคุยกันว่าระหว่าง 2 ประเทศตกลงกันอย่างไร 

 

เมื่อถามว่า การไม่ยกเลิกเอ็มโออยู่ทำให้คนมองว่าเรายอมรับการขีดเส้นของกัมพูชาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ อันนั้นคือความเข้าใจผิด เราไม่ได้ยอมรับเส้นอะไร เอ็มโอยูดังกล่าวคือการที่เราคิดไม่เหมือนกัน แต่เราต้องแก้ไขปัญหาร่วมกันทั้ง 2 ประเทศ ตั้งแต่ปี 2515 กัมพูชาขีดเส้นมาก่อน ต่อมาปี 2516 เราขีดเส้นด้วย แม้จะขีดเหมือนกันแต่ข้อตกลงข้างในไม่เหมือนกัน จึงทำเอ็มโออยู่ขึ้นมา และเปิดการเจรจาให้ทั้ง 2 ประเทศตกลงกันว่าจะเป็นอย่างไร ขอย้ำว่าเกาะกูดไม่เกี่ยวกับการเจรจานี้  ให้คนไทยทุกคนสบายใจได้เลยว่าเราจะไม่เสียเกาะกูดไป และกัมพูชาก็ไม่ได้สนใจเกาะกูดของเราด้วย ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”

 

เมื่อถามต่อว่า มีการอ้างสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยกเลิกเอ็มโอยู นายกฯกล่าวว่าไม่มี ข้อเท็จจริงเอ็มโอยูปี 2544 ยกเลิกไม่ได้ หากไม่เกิดการตกลงของทั้ง 2 ประเทศ เรื่องนี้ต้องเข้าที่ประชุมรัฐสภา และในปี 2552 ก็ไม่มีเรื่องนี้เข้าในรัฐสภา  โดยระหว่างนี้นายกฯ ได้หันไปด้านข้าง ซึ่งนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคกล้าธรรม (กธ.) ยืนอยู่  ก่อนที่นางนฤมลจะตอบกลับมาทันว่า  “ปี 2557 ท่านพล.อ.ประยุทธ์ ยืนยัน”   จากนั้นนายกฯ กล่าวต่อว่า  ปี 2557 พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันทุกคนเป็นเนื้อเดียวกันนว่า มีมติครม.ว่า ไม่มีการยกเลิก 

 

เมื่อถามอีกว่า มีเสียงเรียกร้องให้ยกเลิกเอ็มโอยู 44 นายกฯ กล่าวว่า “ต้องถามว่ายกเลิกแล้วได้อะไร เราต้องกลับมาที่เหตุและผล ทุกประเทศคิดคิดไม่เหมือนกันได้ จึงต้องมีเอ็มโอยูว่าถ้าคิดไม่เหมือนกันเราต้องคุยกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก การรักษาไว้ซึ่งความสงบระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ ในเอ็มโอยูดังกล่าวเปิดให้ 2 ประเทศพูดคุยกัน จึงต้องถามว่ายกเลิกแล้วได้อะไร ถ้ายกเลิกฝ่ายเดียวโดนฟ้องร้องจากกัมพูชาแน่นอน ซึ่งไม่มีประโยชน์ 

 

เมื่อถามว่า การยืนยันวันนี้อาจถูกมองว่ารัฐบาลเดินต่อโดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน นายกฯ กล่าวว่า ไม่จริงเลย ที่เรามากันในวันนี้ทุกคนตกลงกันอย่างง่ายดาย และเข้าใจคอนเซปต์เดียวกันว่าตกลงอันนี้คือข้อตกลงระหว่างประเทศไม่เกี่ยวกับเสียงคัดค้าน วันนี้ที่ออกมาพูดให้ประชาชนฟัง เพื่อจะอธิบายว่า 1.เอ็มโอยูไม่เกี่ยวกับเกาะกูด 2. เอ็มโอยูคือเรื่องระหว่างสองประเทศ หากจะยกเลิกต้องเป็นการตกลงระหว่างประเทศ และ 3. เรายังไม่เสียเปรียบเกี่ยวกับข้อตกลงเกี่ยวกับข้อตกลงเลย 

 

”ฉะนั้นอย่าเอาเรื่องของการเมืองมาทำให้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สั่นคลอน เราอยากให้เข้าใจตรงกันตามหลัก“ นายกฯ กล่าว

 

เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันว่ารัฐบาลนี้จะเดินหน้าเอ็มโอยูใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แน่นอนเราจะเดินต่อ ตอนนี้กัมพูชารอเราในเรื่องขอคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ไทย-กัมพูชา ที่จะไปศึกษาและพูดคุย ซึ่งกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพลังงาน จะมาช่วยกัน

 

เมื่อถามอีกว่า กลัวประเด็นนี้จะบานปลายหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ถ้าทุกคนเข้าใจในหลักการแล้ว ไม่น่าจะบานปลาย เพราะทั้งหมดคือข้อเท็จจริงไม่มีการคุยอะไรข้างหลัง เพราะที่ตนกล่าวมาคือกรอบเป็นหลักคิด เป็นกฎหมาย ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เผือกร้อนของตน

 

เมื่อถามต่อว่า ข้อกังวลเรื่องพลังงานใต้ทะเลแนวทางของรัฐบาลเป็นอย่างไรนายกฯ กล่าวว่าต้องคุยกันระหว่างประเทศก่อน และต้องมีการศึกษารายละเอียดว่าจะแบ่งกันอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้ผลประโยชน์ที่จะเกิดกับ 2 ประเทศยุติธรรมมากที่สุด เราจึงส่งคณะกรรมการที่รู้รายละเอียดไปศึกษาร่วมกันกับทางกัมพูชาให้ได้คำตอบที่จะสามารถต่อประชาชนได้อย่างชัดเจน 

 

เมื่อถามอีกว่า จะใช้ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชาในเรื่องนี้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ความสัมพันธ์ที่ดีสามารถสามารถสร้างคอนเน็คชันที่ดีได้ เหมือนเรามีเพื่อนสนิทเราก็สามารถคุยกันได้ แต่เรื่องของประโยชน์ของประเทศเขาและประเทศเรา เราต้องใช้คณะกรรมการเพื่อไม่ให้มีอคติ ความรู้สึกของฉันของเธอขึ้นมา เราใช้คณะกรรมการเพื่อให้เกิดความรู้จริง รู้ครบและยุติธรรม”

 

เมื่อถามอีกว่า ยืนยันจะรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศไทยอย่างสูงสุดใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ ดิฉันเป็นคนไทย 100 % ประเทศไทยต้องมาก่อนคนไทยต้องมาก่อนรัฐบาลนี้ยืนยันจะรักษาแผ่นดินไทยไว้อย่างเต็มที่ และจะทำให้พี่น้องประชาชนมีความสุขที่สุด”