การดูแลสุขภาพแม่และเด็ก เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของครอบครัวและสังคมโดยรวม ช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ และวัยเด็กเป็นช่วงที่มีความสำคัญและละเอียดอ่อนที่สุด การดูแลสุขภาพแม่และเด็กในด้านต่างๆ ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ไปจนถึงพัฒนาการของเด็กในช่วงวัยต่างๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมสำหรับแม่และเด็ก ชวนไปพูดคุยกับ ทีมสูตินรีแพทย์ และทีมกุมารแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์แม่และเด็ก 24 ชั่วโมง โรงพยาบาลนวเวช ที่จะมาช่วยสร้างความเข้าใจ พร้อมแนะแนวทางการดูแลสุขภาพของแม่และเด็ก ตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ ระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด การดูแลตัวเองหลังคลอด รวมไปถึงการดูแลสุขภาพและพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีให้กับคุณแม่และลูกรัก
เตรียมความพร้อมก่อนเป็นคุณแม่
การเตรียมความพร้อมในการเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่เริ่มต้นจากการวางแผนการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การเตรียมตัวสำหรับการมีบุตรเป็นไปอย่างราบรื่นและมีสุขภาพดี โดย นพ.ธิติพันธุ์ น่วมศิริ สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (MFM) ศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลนวเวช แนะนำว่า หลังวางแผนที่จะมีลูกแล้ว คู่สามีภรรยาควรเข้ารับการตรวจ เพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจหาโรคธาลัสซีเมีย (โลหิตจาง) โรคติดเชื้อต่างๆ เช่น เอชไอวี ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี รวมถึงภูมิคุ้มกันต่างๆ เช่น ตับอักเสบบี และหัดเยอรมัน หากไม่มีภูมิคุ้มกันควรฉีดวัคซีนตั้งแต่ก่อนวางแผนที่จะตั้งครรภ์
“หลังจากตั้งครรภ์ หลายคนชอบถามว่าฝากครรภ์เมื่อไหร่ดี ถ้าหมอแนะนำคือ เมื่อตรวจเจอว่าท้อง เข้ามาพบแพทย์ได้เลย เพื่อมาซักประวัติ ดูความเสี่ยงโรคต่างๆ คัดกรองภาวะครรภ์เสี่ยงสูง และรับยาบำรุง ช่วงแรกเราจะให้ ‘โฟลิก’ ช่วยป้องกันความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาทได้ หรือป้องกันภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ได้ ที่สำคัญการมาพบแพทย์ เรามาตรวจดูว่าเป็นการตั้งครรภ์จริงไหม เป็นการตั้งครรภ์ในหรือนอกมดลูก ถ้าคอนเฟิร์มเป็นการตั้งครรภ์ในมดลูก หลังจากนั้นจะนัดตรวจติดตาม ดูการเจริญเติบโตของลูกไปเรื่อยๆ และฝากครรภ์ไปจนคลอด” นพ.ธิติพันธุ์ แนะ
ปัญหาแม่ตั้งครรภ์ รู้ก่อนรับมือได้
ปัญหายอดฮิตที่หลายครอบครัวยุคนี้เผชิญ คือ ปัญหาการมีลูกช้า โดย นพ.ธิติพันธุ์ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันคนตั้งครรภ์มีอายุเยอะขึ้น ด้วยเทรนด์มีลูกยาก หรือรอความพร้อมต่างๆ ขณะเดียวกันอายุที่เยอะขึ้นเกินวัย 35 ปี แม้จะมีความพร้อมด้านอื่นๆ แต่ก็นับว่ามีความเสี่ยงที่ลูกจะเป็นดาวน์ซินโดรม หรือโครโมโซมอื่นๆ ผิดปกติมากกว่าคุณแมตั้งครรภ์ที่อายุน้อย ซึ่งสมัยก่อนหากอายุเกิน 35 ปี แพทย์จะแนะนำให้ตรวจโดยวิธีการเจาะน้ำคร่ำ แต่ปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องอายุถึง 35 ปี คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนก็สามารถรับการตรวจ ที่เรียกว่า Non-Invasive Prenatal Testing (NIPT) เป็นการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์ โดยการตรวจจากเลือดแม่ เพื่อค้นหาความเสี่ยงและความผิดปกติของโครโมโซมที่สำคัญสำหรับทารกในครรภ์ โดยสามารถเข้ารับการตรวจตั้งแต่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อวางแผนการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
อีกหนึ่งปัญหาที่คุณแม่ตั้งครรภ์หลายท่านกังวล คือ ภาวะครรภ์เสี่ยงสูง นพ.ธิติพันธุ์ อธิบายว่า เป็นภาวะใดๆ ก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของแม่และทารกในครรภ์ พบได้ทั้งในกลุ่มแม่ที่มีโรคประจำตัวตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน อีกกลุ่มคือ ความเสี่ยงที่พบตอนตั้งครรภ์ เช่น ภาวะรกเกาะต่ำ เจ็บครรภ์ก่อนกำหนด รวมถึงคุณแม่ที่อายุเยอะ ก็ถือเป็นครรภ์เสี่ยงสูง เพราะมีความเสี่ยงต่างๆ เช่น ความผิดปกติของโครโมโซม และครรภ์เป็นพิษ ขณะเดียวกันครรภ์เสี่ยงสูงสามารถส่งผลกระทบต่อลูกได้ เช่น แม่ที่เป็นเบาหวาน นอกจากเพิ่มความเสี่ยงที่แม่จะเกิดครรภ์เป็นพิษได้ในอนาคต เด็กยังอาจมีขนาดตัวโตกว่าปกติ หรือปอดเด็กพัฒนาช้า ซึ่งกรณีเหล่านี้ต้องได้รับการดูแลเพิ่มขึ้นจากการตั้งครรภ์ปกติ โดยสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันภาวะครรภ์เสี่ยงสูง ควบคุมโรคที่เป็นมาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ให้ได้
นอกจากนี้ สิ่งที่มักจะมาควบคู่กับคุณแม่ตั้งครรภ์ คือ อาการแพ้ท้อง ที่แต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่ อาการแพ้ท้องจะเกิดในช่วงไตรมาสแรก ประมาณ 9 สัปดาห์ จะเริ่มมีอาการแพ้หนัก และจะเริ่มดีขึ้นช่วงใกล้ๆ พ้นไตรมาสแรก ในช่วง 12-14 สัปดาห์ สำหรับวิธีการดูแล ส่วนใหญ่คนไข้จะมีอาการแพ้ท้องเมื่อปล่อยให้ท้องว่าง จึงแนะนำให้หาอะไรทานบ่อยๆ อย่าปล่อยให้ท้องว่าง พยายามจิบน้ำเยอะๆ บางคนต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นระบบประสาท เช่น กลิ่นฉุน อาหารรสจัด รวมถึงรับประทานของสุก สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดท้องเสีย
คลอดแบบไหน เหมาะกับใคร
การคลอด สามารถแบ่งได้ 2 วิธี คือ คลอดธรรมชาติ และผ่าตัดคลอด ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล หากจะดูว่าคุณแม่สามารถคลอดธรรมชาติได้ไหม ต้องยืนยันท่าทารก คือ ทารกต้องเอาศีรษะลงไปด้านล่าง เรียกว่า ‘ท่าหัว’ ประเมินเชิงกรานคุณแม่ว่าแคบหรือไม่ ด้วยการตรวจภายใน ดูขนาดตัวทารก หากเชิงกรานแม่ปกติ ทารกเอาศีรษะลง ขนาดตัวทารกไม่ใหญ่ สามารถคลอดธรรมชาติได้ แต่หากทารกอยู่ใน ‘ท่าก้น’ หรือนอนขวาง มีขนาดตัวใหญ่ เชิงกรานแม่แคบ และแม่ตัวเล็ก สูตินรีแพทย์จะไม่แนะนำให้คลอดธรรมชาติ เพราะมีโอกาสที่จะคลอดไม่ได้ ต้องใช้วิธีผ่าคลอดแทน หรือหากมีภาวะฉุกเฉินระหว่างรอคลอด เช่น หัวใจลูกไม่ดี หรือภาวะใดๆ ที่แม่ไม่ปลอดภัย ก็จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดคลอดทันที
ดูแลคุณแม่หลังคลอด
พญ.ศันสนีย์ อังสถาพร สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งวิทยานรีเวช ศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลนวเวช เสริมว่า สำหรับการดูแลคุณแม่หลังคลอด จะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ คุณแม่ที่คลอดเอง และผ่าตัดคลอด การระวังจะคล้ายกัน คือ ระวังเรื่องแผล การคลอดเอง แผลจะอยู่ในช่องคลอด จึงควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ ขับถ่ายได้ตามปกติ ดูแลรักษาแผลให้สะอาด โดยแพทย์จะนัดมาดูแผลอีกครั้งใน 1 สัปดาห์ ส่วนการผ่าตัดคลอด เป็นการดูแลแผลผ่าตัดทางหน้าท้อง หลังออกจากห้องผ่าตัด 3 วัน แพทย์จะมีการดูแผล 1 รอบก่อนกลับบ้าน หลังจากนั้นให้กลับไปใช้ชีวิตที่บ้าน งดเว้นการเดินไกล ยกของหนัก อุ้มลูกนานๆ หลายชั่วโมง และระวังการกระแทกที่ท้อง หลังจากนั้นจะนัดดูแผลอีกครั้งหลังการผ่าตัด 7 วัน
“การปฏิบัติตัวทำได้ตามปกติ กินอาหารที่สุก สะอาด ดื่มน้ำให้เพียงพอ วิตามินยังต้องรับประทานอยู่เหมือนตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ทั้งนี้ หลังจากที่ดูแผลเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะมีการนัดคนไข้มาติดตามตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก 6 สัปดาห์หลังคลอด ซึ่งเป็นช่วงที่ดีที่สุด เพราะปากมดลูกค่อนข้างเปิด เก็บเซลล์ได้เยอะ และได้ตำแหน่งที่ถูกต้องในการตรวจ” พญ.ศันสนีย์ เสริม
ทารกแรกเกิด เรื่องที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ
เรื่องของทารกเเรกเกิดมีหลายสิ่งที่ต้องระวังมากกว่าเด็กโต เนื่องจากช่วงเเรกเกิดจะยังไม่ทราบว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ฉะนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การตรวจคัดกรองด้านต่างๆ นพ.ปรเมศวร์ วงศ์ประเสริฐ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านทารกแรกเกิดและปริกำเนิด ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช อธิบายว่า การคัดกรองเบื้องต้นจะเริ่มมาตั้งเเต่ฝ่ายสูตินรีแพทย์ ซึ่งจะคัดกรองจากเลือดของเเม่ และเมื่อคลอดออกมาเเล้วจะเป็นส่วนของการคัดกรองเด็กแรกเกิด โดยทุกเคสที่คลอดที่ โรงพยาบาลนวเวช จะได้รับการตรวจคัดกรอง ดังนี้ 1. คัดกรองการได้ยิน เพื่อเป็นการเช็กเบื้องต้นว่ามีการได้ยินที่ปกติหรือไม่ 2. คัดกรองโรค 40 โรค เป็นการตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรมเบื้องต้น และ 3. คัดกรองกรุ๊ปเลือดของลูก
“สำหรับภาวะฉุกเฉินทางการเเพทย์ของทารกเเรกเกิด สัญญาณที่ต้องกังวล คือ ซึม ไม่ดูดนม มีไข้ หรือตัวเย็น ไม่ค่อยตื่น ปกติเด็กก็ต้องตื่นมากินนม เเล้วนอน เเต่ถ้าไม่ค่อยตื่น ซึมลง เป็นภาวะที่ต้องระวัง อีกข้อหนึ่งที่จะเจอในเด็กเล็กเลยก็คือ สะดือเเดง บวม ต้องระวังภาวะสะดืออักเสบ ซึ่งเป็นภาวะอันตรายมากในเด็กเล็ก มีภาวะตัวเหลืองมากขึ้นอย่างเฉียบพลัน สัญญาณที่ต้องระวังภาวะที่รุนเเรงของเด็ก การถ่ายผิดปกติ ไม่ถ่าย ไม่ผายลม หรือถ่ายเหลว เป็นมูก เป็นฟอง เป็นเลือด เเละอีกข้อหนึ่งคือ ไอ หอบ เหนื่อย ต้องระวังเรื่องติดเชื้อทางเดินหายใจหรือการสำลักได้ เหล่านี้เป็นอาการเบื้องต้นของทารกแรกเกิดที่ต้องระวัง เเละพามาพบเเพทย์” นพ.ปรเมศวร์ ให้ข้อมูล
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับเด็กเเรกเกิด
ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน พบว่าพ่อแม่หลายคนยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการดูแลเด็กแรกเกิดอยู่มาก นพ.ปรเมศวร์ กล่าวว่า ความเชื่อที่มีความเข้าใจผิด เเบ่งออกเป็นสองส่วน
1. ความเชื่อที่มีอันตรายกับเด็ก เช่น การกินน้ำในเด็กเเรกเกิด โดยปกติแล้วในนมเเม่หรือนมผสม มีน้ำที่เพียงพออยู่เเล้ว ฉะนั้นในเด็กช่วง 6 เดือนเเรก ไม่จำเป็นต้องกินน้ำ เพราะจะทำให้มีเกลือเเร่ที่ผิดปกติในเลือดของเด็กได้ หรือ การดัดขาเด็ก โดยปกติแล้วขาโก่งเป็นสิ่งที่ต้องเจอในเด็กแรกเกิด กว่าจะตัดสินว่าเด็กคนหนึ่งขาโก่งหรือไม่ ต้องอายุ 3-4 ขวบขึ้นไป หากฝืนดัดอาจทำให้ขาเด็กหักได้ หรือ การให้เด็กกินกล้วยตั้งเเต่ 2-3 เดือน ก็อาจจะเสี่ยงเสียชีวิตจากลำไส้อุดตันได้
2. ความเชื่อที่อาจจะไม่ได้ช่วยอะไร แต่ไม่มีอันตรายกับเด็ก เช่น ส่องแดดตอนเช้า เพื่อลดอาการตัวเหลือง ในความเป็นจริงตัวเหลืองไม่สามารถหายด้วยการส่องแดดหรือส่องพระอาทิตย์ได้ โดยเฉพาะช่วงที่ PM 2.5 หนักๆ ไม่เเนะนำให้พาทารกแรกเกิดไปเจอฝุ่น หรือ การโกนผมไฟ เพื่อให้ผมมากขึ้น ลดผมร่วง ในความเป็นจริง การโกนผมไฟก็ไม่ได้ช่วยให้ปริมาณของรากผมมากขึ้นหรือทำให้ผมเยอะขึ้น
ดูแลเด็กแรกเกิดอย่างถูกวิธี
สำหรับการดูแลเด็กแรกเกิดในคุณแม่มือใหม่นั้น เบื้องต้นเเล้วเด็กแรกเกิดทั่วไป จะให้กินนมทุก 2.30 - 3 ชั่วโมง ปริมาณนมขึ้นอยู่กับเด็ก โดยนมเเม่สำคัญที่สุด เพราะมีภูมิคุ้มกันที่นมผสมไม่มี หนึ่งวันควรได้รับนมประมาณ 8 มื้อ หากลูกกินนมได้เพียงพอ จะนอนได้ยาว สามารถปัสสาวะได้มากกว่า 6-8 ครั้งต่อวัน อุจจาระมากกว่า 6-8 ครั้งต่อวัน เหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณเเม่มือใหม่ต้องรู้เบื้องต้น
ที่สำคัญ พามาพบเเพทย์ตามเวลาที่กุมารเเพทย์นัดไว้ เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อติดตามการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนัก หรือความยาวของลูกน้อย, พัฒนาการของเด็ก, ตรวจร่างกายของเด็กว่ามีความผิดปกติด้านอื่นหรือไม่, ฉีควัคซีนตามนัด และให้ข้อมูลที่คุณพ่อคุณเเม่กังวลในเเต่ละด้าน เพื่อให้สบายใจเเละมีความสุขในการเลี้ยงลูก
เสริมสร้างพัฒนาการสมวัย
เพราะการเจริญเติบโตของเด็กแต่ละช่วงวัยมีลักษณะเฉพาะและความต้องการที่แตกต่างกันออกไป การดูแลสุขภาพและการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กนั้นจึงแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงวัย พญ.รังรักษ์ สวนดอก กุมารแพทย์ ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช ให้ข้อมูลว่า เด็กเล็ก ตั้งเเต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 1 ปี รวมไปถึงเด็กวัยก่อนเข้าเรียน คือ 1 ปี - 3 ปี เด็กกลุ่มนี้จะต้องดูเรื่องพัฒนาการว่าสมวัยหรือไม่ น้ำหนักส่วนสูงเข้าเกณฑ์ไหม รับประทานอาหารอย่างไรเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้เเข็งเเรง หากมีภาวะเจ็บป่วย จะทำการวินิจฉัยอย่างเเม่นยำ รวดเร็ว เเละให้การรักษาที่ถูกต้อง
ส่วนเด็กโต จะเเบ่งเเยกเป็นเด็กวัยประถม เเละเด็กวัยรุ่น โดยจะดูพัฒนาการตามวัย เช่น ป.1 อ่านเขียนได้ไหม เข้าใจภาษา พูดเป็นประโยค เล่าเรื่องได้หรือไม่ ดูน้ำหนักส่วนสูง ดูเรื่องสารอาหารที่เหมาะสม เเละดูเเลเรื่องการเจ็บป่วย ขณะที่วัยรุ่นจะเเตกต่างกันที่ ก่อนวัยรุ่นจะดูว่ามีภาวะโตเป็นหนุ่ม-สาวก่อนวัยหรือไม่ ต้องปรับสมดุลเรื่องอาหารอย่างไร น้ำหนักส่วนสูงตามเกณฑ์ไหม หรือต้องเพิ่มสารอาหารอย่างไร เเละเรื่องความเจ็บป่วยเช่นเดียวกับเด็กเล็ก นอกจากนี้ อาจพบปัญหาเกี่ยวกับการปรับตัวเข้าสู่ภาวะวัยรุ่น ทั้งในเรื่องเพื่อน เกมส์ หรือมีปัญหากับพ่อเเม่ วัยรุ่นจะเริ่มอารมณ์ร้อน กลุ่มนี้จะมีคุณหมอให้คำปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอเรื่องพัฒนาการ หรือคุณหมอจิตวิทยา ส่วนภาวะเจ็บป่วยของเเต่ละวัย โรงพยาบาลนวเวชก็มีทีมแพทย์สาขาต่างๆ ให้การดูเเลที่ครอบคลุม
“พัฒนาการที่สมวัยเป็นการบ่งบอกว่าร่างกายเเละสมองเป็นปกติ อยู่ในภาวะที่ปกติ ไม่ต้องได้รับการเสริม เเต่ถ้าไม่สมวัย หมออาจจะมีการชี้นำ หรือแนะนำให้คุณแม่เห็น เพื่อที่จะได้กระตุ้นพัฒนาการให้ตามเพื่อนได้ทัน เเละเป็นการตรวจหาโรคที่ซ่อนเร้นอยู่ด้วย เช่น บางคนไม่รู้เลยว่าลูกมีปัญหาทางด้านสมอง พัฒนาการช้า ถ้าพบช้าเกินไป กระตุ้นช้าเกินไป ก็จะทำให้เด็กไม่ได้รับโอกาสในการแก้ไขได้ทัน หากมีพัฒนาการที่สมวัย ก็จะสามารถที่จะเติบโตได้ มีพัฒนาการทางด้านสมอง เเละทางด้านร่างกาย พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ และสามารถเข้าเรียนได้ตามปกติ” พญ.รังรักษ์ กล่าว