วันที่ 2 พ.ย.67 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "เทพไท - คุยการเมือง" ระบุว่า...

พรบ.นิรโทษกรรม:ปรองดองจริงหรือ?

กรณีนายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการนิรโทษกรรม จะดำเนินการยื่นต่อสภาทันที หลังจากที่เปิดสมัยประชุมสภา ช่วงเดือน ธ.ค. ตามมติการประชุม สส.ของพรรค ยึดหลักเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง แต่ไม่รวมมาตรา 110 มาตรา 112 รวมถึงคดีทุจริต และคดีอาญาที่ร้ายแรง โดยเชื่อว่ามวลชนจะเข้าใจ เพราะหลักการการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมนั้น ต้องคำนึงถึงการสร้างความปรองดอง ไม่ต้องการเพิ่มความขัดแย้ง

ผมเห็นว่าการออกพรบ.นิรโทษกรรม มีเป้าหมายเพื่อความปรองดอง และสมานฉันท์ของคนในชาติ แต่ต้องเป็นความเห็นพ้องของทุกภาคส่วน และได้ประโยชน์จากการนิรโทษกรรมทุกกลุ่มที่เป็นคดีการเมืองด้วย จึงจะทำให้การนิรโทษกรรมบรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง

แต่ตอนนี้การออกพรบ.นิรโทษกรรม กำลังซ้ำรอยเดิมของการออกพรบ.โทษกรรมแบบสุดซอย สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีคนเห็นต่างและคัดค้านกันเป็นจำนวนมาก จนมีการนัดชุมนุมประท้วงทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน และอำนาจระบบก็เข้ามาควบคุมการบริหารประเทศ

การออกพรบ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เกรงว่าจะเป็นจุดชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ขึ้นมาอีกก็ได้ เพราะการออกพรบ.นิรโทษกรรม มีการได้ประโยชน์เฉพาะบางกลุ่ม และเสียประโยชน์ไม่ได้ประโยชน์ในบางกลุ่ม ซึ่งอาจจะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกได้ คนที่ไม่ได้รับประโยชน์จาก พรบ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ คงไม่ยอมและไม่พอใจ อาจจะถึงขั้นเคลื่อนไหวทางการเมือง จุดม็อบ ชุมนุมสร้างความขัดแย้งในสังคมรอบใหม่ขึ้นมาอีกก็ได้

เพราะฉะนั้นการที่พรรคเพื่อไทยออกมายกข้ออ้างเรื่องความปรองดองนััน เป็นการอ้างเหตุผลทางทฤษฎีแต่ในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้ว่า จะมีการปรองดองกัน จึงทำให้พรบ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ไม่ตอบโจทย์ของสังคม

ผมไม่มีส่วนได้เสียใดๆกับการออกพรบ.นิรโทษสกรรมครั้งนี้ แต่ยึดหลักการว่า ถ้าจะออกพรบ.นิรโทษกรรมเพื่อความปรองดองและสมานฉันท์ จะต้องมีการนิรโทษให้กับคดีการเมืองทุกกลุ่ม ถ้าไม่นิรโทษให้กับทุกกลุ่ม ความปรองดองก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อความปรองดองไม่เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าจะออกพรบ.นิรโทษกรรมไปทำไม