สระบุรี เจ้าของปั๊มร้อง ถูกหลานๆยึดกิจการ อยากได้คืนเอามา 300 ล้าน

           วันที่ 31 ตุลาคม 2567 จากกรณีที่ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนางเปรมจิต อายุ 80 ปีว่าตนเองได้เปิดสถานีบริการน้ำมัน (กม.100ริมถนนพหลโยธินขาเข้ากรุงเทพฯ) จากนั้นได้ขยายกิจการโดยซื้อที่เพื่อขยายกิจการติดกับปั๊มน้ำมันเก่า โดยการซื้อที่นั้นได้ใช้ชื่อของลูกชายนายสิทธิโชค (หนุ่ม) และหลานๆอีกจำนวน 3 คนมีนายปรเมศวร์(หนึ่ง) นายปรพล(นาน)และนางสาวนุ้ย(นามสมมติ) หลานสาวอีกคนซึ่งเป็นลูกของนายหนุ่มเป็นคนซื้อที่โดยตนเองเป็นผู้จ่ายเงินในการซื้อที่ในราคา 65 ล้านบาท เนื่องจากว่าเจ้าของที่ไม่ยอมขายให้ตนเอง จึงได้ให้ลูกชายและหลานๆเป็นคนซื้อที่ เนื่องจากคิดว่าลูกและหลานๆก็ไม่น่าจะโกงตนเอง และเปิดสถานีบริการน้ำมันแห่งใหม่ซึ่งติดอยู่กับที่เดิม โดยให้หลานๆเป็นผู้ดูแลควบคุมการเงิน ส่วนตนเองก็อยู่ด้วยช่วยกันดูแล โดยได้กู้เงินจากธนาคารมา 100 กว่าล้านมาขยายกิจการ ซึ่งใช้เวลา 6 ปีจนสามารถส่งเงินที่กู้จากธนาคารมาจนหมด

จากนั้นเมื่อตนเห็นว่าหลานๆไม่ค่อยใส่ใจในการบริหารปั๊ม เอาแต่เที่ยวแตร่ ขับรถแข่ง เอาเงินที่ขายน้ำมันได้ไปใช้จ่ายจนหมดและคิดที่จะยึดครองปั๊มของตนเองโดยจะไม่ยอมให้ตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องเงินไดๆทั้งสิน ตนเองจึงคิดว่าต่อไปก็คงจะเจ๊งหมดแน่ๆ ซึ่งในระยะ 7-8 ปีที่ผ่านมาเงินหายไปจากระบบหลายสิบล้านบาท โดยการยักยอกเงิน จนน้ำมันไม่มีขาย ของไม่มีขายเป็นหนี้เขาทั่วไปหมด โดยการไปเก็บเงินในร้านกาแฟ และร้านต่างๆที่เป็นกิจการของทางปั๊ม ตนเองจึงได้ให้ลูกน้องเอาบัญชีมาดูจึงได้รู้ว่าเงินทุนสำรองภายในปั๊มแทบจะไม่เหลือ พร้อมเอาเงินที่มีการสแกนจ่ายคิวอาร์โค๊ด ไปใช้จ่ายจนหมด บางครั้งเมื่อตนเองไปเก็บเงินตามร้านค้าภายในปั๊มมาก็จะให้ รปภ.เข้าไปแย่งถุงเงินไปตอนนี้ตนเองได้ฟ้องศาลแล้วเพื่อที่จะขออำนาจศาลนำปั๊มกลับคืนมา เนื่องจากว่าที่ผ่านๆมาตนเองไมมีสิทธิ์ในการบริหารปั๊มแต่อย่างได เนื่องจากว่าหลานๆของตนเองได้จ้าง รปภ.มาคอยติดตามตนเองโดยตลอดไม่ว่าตนเองจะเดินไปไหนหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องการเงินไดๆก็ไม่ได้ โดยอ้างว่าที่จ้าง รปภ.เพื่อเข้ามาคุมครองตนเองและคอยดูแลของของเขาภายในปั๊มเนื่องจากกลัวว่าตนเองจะไปทุบทำลายของๆเขา ซึ่งของๆทั้งหมดก็เป็นของตนเองและคอยข่มขู่พนักงานเติมน้ำมันเมื่อลูกค้าเติมน้ำมันแล้วให้นำเงินมาใส่ในกล่องไว้อย่างเดียวโดย รปภ.จะคอยคุมกล่องเงินไว้และนำไปส่งให้กับหลานชายตนเอง ซึ่งตนเองไม่สามารถที่จะยุ่งเกี่ยวไดๆได้เลย ตอนนี้ตนเองอยากจะได้ปั๊มน้ำมันกลับคืนมาบริหารเองจึงได้ไปฟ้องศาลไว้ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้ว

            คืบหน้าล่าสุดวันนี้ผู้สื่อได้ลงพื้นที่ไปยังบริษัท โดยได้พบกับนางเปรมจิต (ป้าเปรม) เพื่อสอบถามความคืบหน้าหลังจากที่มีกระแสเผยแพร่ออกไป โดยป้าเปรม เล่าว่าหลังจากที่ได้ขึ้นศาลครั้งล่าสุดทางทนายของหลานชายได้เสนอมาว่า “ถ้าอยากได้คืนให้เอาเงินมา300ล้านแล้วเขาจะให้คืน” ซึ่งตนตอบว่าไม่เอาเนื่องจากว่าจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อและอีกอย่างของก็เป็นของๆเราแล้วเราจะไปซื้อทำไม โดยตนเองอยากให้หลานนั้นมาเซ็นต์คืนให้ทั้งหมดก็จบกัน ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วพวกหลานตนเองก็ไม่มีอะไรมาเลย แต่ถ้าทางหลานไม่ยอมคืนให้ก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ซึ่งตอนนี้ตนได้ฟ้องหลานทั้งหมด3 คนไว้ทั้งหมด 4 คดีแล้วเป็นคดีเพ่ง 1 คดีเกี่ยวกับเรื่องเอาที่กับบริษัทคืน ส่วนคดีอาญาอีก 3 คดีก็จะมี วิ่งราวทรัพย์ นำคิวอาร์โค๊ดไปขึ้นเงิน และบุกรุก ซึ่งจะต้องขึ้นศาลอีกครั้งในวันที่ 19 พฤศจิกายน นี้ตอนนี้คดีอยู่ในระหว่างขั้นตอนสืบพยานโดยส่วนตัวแล้วตนเองมั่นใจเนื่องจากว่ามีเอกสารในการต่อสู้เป็นจำนวนมาก ซึ่งในอนาคตถ้าตนเองชนะคดี ในพื้นที่ตรงนี้ตนเองคิดว่าจะทำเป็นมูลนิธิ หรืออะไรสักอย่างเพื่อคนที่ไม่มีกิน ไม่มีใช้ก็ให้มาขอความช่วยเหลือก็จะพิจารณาเป็นรายๆไป

แต่ถ้าพวกหลานพวกนี้จะเข้ามาขอตนเองยืนยันเลยว่าจะไม่ให้ ซึ่งเขาจะได้รู้สึกตัวเองว่าได้ทำอะไรไว้บ้าง ซึ่งตอนที่ให้ซื้อที่เป็นชื่อลูก และหลานๆตนเองก็ได้บอกไว้แล้วว่าย่าจะขอดูแลเองจนกว่าย่าจะตาย แล้วมาเป็นแบบนี้ตนเองคิดว่ามันก็ไม่ใช่ ซึ่งตนเองคิดว่าหลานๆจะไม่ให้ตนเองแล้วด้วย ซึ่งตอนนี้หลานได้เข้ามาคุมการเงิน มาเอา มาเก็บเอา รปภ.มาเก็บทุกวัน ซึ่งทุกวันนี้ตนเองก็จะเก็บเงินได้ก็แค่ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ร้านของฝากและพวกที่มาเช่าอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกร้านที่ตนเองเก็บเงินต่างก็กลัวพวกหลานๆแต่เมื่อตนเองอธิบายให้ทางร้านค้าเข้าใจก็คลายกังวล และนำเงินมาส่งให้กับตนเองแล้ว ป้าเปรมเผยต่อว่า ในตอนนี้ตามร้านต่างๆที่สามารถแสกน คิวอาร์โค๊ด จ่ายค่าสินค้านั้นตนเองได้เปลี่ยนเป็นบัญชีของตนเองแล้ว ซึ่งแต่ก่อนเป็นชื่อของนางสาวสิริกัญญา และนายวรรณพนธ์ และได้ถูกหลานทั้ง2ยักยอกทรัพย์ไป

           ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ขณะที่ป้าเปรม ได้เดินอยู่ภายในปั๊มน้ำมันก็จะมี รปภ.คอยติดตามดูตลอดและมีการถ่ายคลิปไว้ด้วย จากการสอบถามแม่ค้าที่อยู่ภายในปั๊มน้ำมัน เล่าว่าภายในปั๊มมีแต่ความวุ่นวายมาโดยตลอดเนื่องจากว่ามีแต่คนคอยจะเล่นงานป้าเปรม โดยเฉพาะพวก รปภ.ก็จะคอยตีป้าเปรม โดยอ้างว่าป้าเปรมไปตบเขาซึ่งจะคอยเดินเบียดตลอดทำให้ป้าเปรมเกิดอาการโมโห ซึ่งความวุ่นวายเกิดขึ้นมานานหลายเดินแล้ว

             ทางด้านนายเกรียงศักดิ์ ดีสูงเนิน ทนายความได้พูดคุยทางโทรศัพท์เผยว่า ตอนนี้ได้แจ้งความดำเนินคดีกับหลานๆของป้าเปรมไว้ก็จะมีคดีที่แจ้งความในเรื่องของนายปรเมศวร์(หนึ่ง) กับแฟนสาว คือได้ร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน คดีที่2 แจ้งนายวรรณพนธ์ (นาน) แจ้งความในคดีบุกรุกเคหะสถาน ส่วนดำเนินคดีที่ฟ้องต่อศาลสระบุรี คดีแรกฟ้องนายปรเมศวร์ และลูกน้อง ในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ โดยจะมีการนัดไต่สวนวันที่ 6 ธันวาคมนี้ คดีที่2 ฟ้องนางสาวสิริกัญญา(นุ้ย)กับแฟนหนุ่ม ข้อหายักยอกทรัพย์ ฟ้องไป5 กระทงเรียกไป 1.7 ล้านโดยจะนัดไต่สวนวันที่ 16 ธันวาคมนี้ ซึ่งในตอนนี้ป้าเปรมฟ้องไปแล้ว 6 คนมีหลาน 3 คนลูกน้องนายปรเมศวร์(หนึ่ง) 1 คนและแฟนนายปรเมศวร์ 1 คนและแฟนของนางสาวสิริกัญญาอีก 1 คน ส่วนคดีปั๊มน้ำมันนั้นตอนนี้ฟ้องในเรื่องคืนที่ดินและเรื่องให้โอนบริษัทคืนให้กับป้าเปรม โดยศาลนัดสืบพยานต่อเนื่องวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ ถึงวันศุกร์ที่ 22 และต้นเดือนธันวาคม หลังจากนั้นประมาณเดือนหรือ2เดือนศาลน่าจะตัดสิน และตอนช่วงใกล้สืบพยานปัญหามันแรงขึ้นเรื่องๆ ป้าเปรมจึงได้มาแจ้งความร้องทุกข์ไว้ เนื่องจากว่าเอกสารโอนเปลี่ยนมือไปค่อนข้างเยอะอยู่ ส่วนในเรื่องคดีนั้นตนเองมองว่าอยู่ที่พยานหลักฐานที่มี แนวโน้มโอกาสที่จะชนะคดีมีอยู่เนื่องจากป้าเปรมมีเส้นทางการเงินที่จะชี้แจง ซึ่งก่อนหน้านี้นั้นได้มีการไกล่เกลี่ยกันถึง 3 รอบแล้วโดยมีการยื่นเงื่นไขในการไกล่เกลี่ยแต่ไม่สามารถตกลงกันได้

             ล่าสุดทางด้านนายปรเมศวร์(หนึ่ง) กิ่งพิกุล(หลานป้าเปรม) ไม่ประสงค์ที่จะให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเนื่องจากคดีอยู่ในชั้นศาล และศาลได้นัดไต่สวนสืบพยานแล้วเกรงจะกระทบต่อรูปคดี ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าว(ไม่ให้บันทึกเสียง)เผยว่าทั้งหมดเป็นกิจการของตนเอง เรื่องเงินลงทุนตนเองได้กู้มาจำนวน 100 ล้านบาทโดยพ่อตนเองกู้มาให้ และในตอนนี้ตนเองยังไม่อยากที่จะแก้อะไรไปในข่าวเกรงว่าจะเข้าตัวเอง ซึ่งถ้าตนเองพูดไปมันจะเป็นการนำไปสืบเป็นข้อโต้แย้งในชั้นศาลได้ซึ่งตนเองขอยืนยันว่าเงินกู้ธนาคารนั้นเป็นชื่อ 3 คนพี่น้องตนเองเป็นผู้กู้และทำมา ส่วนการชำระหนี้ที่หมดภายใน 6 ปีนั้นเป็นเงินของบริษัทในการชำระหนี้ เพราะย่าตนเองไม่มีมรดก ซึ่งการผ่อนส่งก็ติดขัดมาโดยตลอดไม่ใช่ว่าจะราบรื่น ซึ่งตนเองไม่อยากออกมาชี้แจงปกป้องอยู่แล้ว เนื่องจากว่าในมุมที่เห็นออกมาอย่างไรเขาก็จะโจมตีตนเองอยู่แล้ว โดยจะถูกมองว่าเด็กไปรังแกผู้ใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้วผู้ใหญ่รังแกเด็กโดยใช้ความเป็นผู้ใหญ่มารังแกตน ซึ่งตนเอง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างตนเองมีหลักฐานหมดว่าพ่อตนเองเป็นคนกู้ ตนเองเป็นคนใช้หนี้ธนาคารถ้าไม่มีจริงตนเองคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เขาคงเอากลับไปหมดแล้ว ซึ่ง ณ วันนี้เอกสารสิทธิ์ทุกอย่างเป็นของพวกตนเองทั้งหมด แล้วจะมาเรียกร้องของตนเองไปเพื่ออะไรซึ่งตนเองก็ยังลี้ยงดูอยู่ตลอดเวลา