วันที่ 31 ต.ค. 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาคณะก้าวหน้า กล่าวถึงกรณีการเจรจาผลประโยชน์ปิโตรเลียมในกรอบบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป (MOU 44) ซึ่งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เคยระบุ ขอให้อย่านำความคลั่งชาติทำให้เสียประโยชน์ของประเทศ ว่า ชาตินิยมไม่ใช่เรื่องผิด และเผลอๆ อาจจะเป็นเรื่องที่รับได้ แต่ชาตินิยมที่ล้นเกินจนทำให้เกิดการทำลายล้างกันทางการเมือง และการสูญเสียโอกาสความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศประชาคมอาเซียน เป็นปัญหาที่ต้องระวัง
นายพิธา กล่าวต่อว่า ถ้าพูดถึงเรื่องเกาะกูด คือ การฟื้นฟูการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่ง MOU 44 จบไปแล้ว ดังนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าเกาะกูดอย่างไรก็ต้องเป็นของคนไทยแน่นอน ถ้าจะมีการพูดคุยกันในระดับ OCA ก็ต้องกำหนดพื้นที่ซึ่งมีปีโตรเลียมอยู่ และมีการพูดคุยกันแค่นั้น เกาะกูดไม่ควรเข้าไปอยู่ในการเจรจาครั้งนั้น ถ้าจำไม่ผิด พื้นที่ไม่ถึง 20,000 กว่าตารางกิโลเมตร แต่หากว่าไปไกลถึงขนาดกว้างเท่าเกาะกูด ก็จะทำให้ประชาชนเกิดความสงสัย
"รัฐบาลเองก็ต้องออกมาพูดให้ชัดว่าถ้าจะทำเรื่องเกี่ยวกับปิโตรเลียม ก็คือหลังทำ OCA ต้องจำกัดให้ไม่เกี่ยวข้องกับเกาะกูด และเกาะกูดไม่มีทางเป็นของชาติอื่น ยกเว้นประเทศไทย เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การตกลงกันระหว่างไทยและกัมพูชา แต่คือเรื่องระดับสหประชาชาติ ที่มีระเบียบโลกบอกไว้แล้วว่าเรื่องแบบนี้ เป็นปัญหาเรื่องอาณาเขต (Territorial Issue) ของแต่ละชาติ" นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า หากรัฐบาลพูดได้ชัด ก็จะทำให้เรื่องจบไปว่าพื้นที่ที่มีข้อพิพาทอยู่ จำกัดอยู่แค่ตรงนี้เท่านั้น และไม่รวมเกาะกูด ซึ่งมองว่าจะทำให้เชื้อไฟที่ทำให้เกิดความชาตินิยมแบบล้นเกินให้หมดไป แล้วค่อยมาสู้กันในเรื่องการแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน และออกกฎหมายที่มีความก้าวหน้า การตรวจสอบรัฐบาลแบบที่ควรจะเป็น
นายพิธา กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลยังไม่ออกมาพูดให้ชัดเจนจะเป็นผลเสียต่อทั้งรัฐบาลเอง จะเกิดการตั้งคำถามว่าตกลงแล้วพื้นที่ซึ่งจะเจรจากับกัมพูชาคือหลักพันหรือหลักหมื่น หากพูดให้ชัดว่าจบแค่นี้จริงๆ ประชาชนก็จะไม่คิดเลยเถิดในแบบที่รองนายกรัฐมนตรีกังวล แต่เมื่อรองนายกฯ ไม่ยอมบอกว่าการเจรจาจบแค่นี้ ไม่ได้ต่างจาก เขตไหล่ทวีปทับซ้อนกันในอ่าวไทย (Joint Development Area) ระหว่างไทยและมาเลเซีย เราไม่สูญเสียผลประโยชน์แต่อย่างใด การแบ่งผลประโยชน์เป็นไปในลักษณะแบบไหน
"เมื่อเรื่องนี้ไม่ชัดเจน ประชาชนจึงตั้งคำถามและเป็นการเปิดช่องให้นำกระแสชาตินิยมมาใช้ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับชาติไทย และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของประชาคมอาเซียนเลย โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แทนที่จะใช้ความเป็นปึกแผ่นของประชาคมอาเซียนในการบริหารอุณหภูมิทางภูมิรัฐศาสตร์ เราก็พลาดโอกาสนี้ไป" นายพิธา กล่าว
นายพิธา ยังกล่าวถึงมุมมองต่อการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา 2024 ว่า วันนี้มาร่วมในงานเปิดตัวหนังสือ 'มรณกรรมของประชาธิปไตย หรือ How Democracy Die' ซึ่งเป็นหนังสือที่แวดวงวิชาการให้การยอมรับ โดยนำแก่นของเรื่องราวในหนังสือมาวิเคราะห์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน ภายใต้การรักษาความเป็นกลางและมารยาททางการเมือง และในฐานะที่เป็นอดีตนักการเมืองรวมถึงอดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ นายพิธา ยังได้เล่าบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐ เปรียบเทียบกับการเลือกตั้งของประเทศไทยด้วย