คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
แทบไม่น่าเชื่อว่า เวลาของการแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการะหว่าง “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กับ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” ที่ยังคงเหลือเวลาอีกแค่เพียง 5 วัน นับว่าเข้มข้นดุเดือดสุดๆ
และแทบไม่น่าเชื่ออีกเช่นกันว่าระยะเวลาเพียงแค่สี่เดือนเท่านั้นที่รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ได้รับช่วงให้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ต่อจาก “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ซึ่งปรากฏว่า เธอสามารถครองใจคนอเมริกันจำนวนมากและยังได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น รวมทั้งได้รับเม็ดเงินบริจาคไหลทะลักมากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ แถมเธอยังได้รับการตอบรับอย่างกระตือรือร้นจากสมาชิกค่ายพรรคเดโมแครตมากเป็นประวัติการณ์อีกด้วย!!!
แต่การเมืองเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน เพราะคะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริสที่เคยมีพุ่งสูงเหนือกว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 5% แต่ขณะนี้กลับปรากฏให้เห็นว่า คะแนนนิยมของเธอกลับค่อยๆลดน้อยถอยลงไป สืบเนื่องมาจากวาทะศิลป์ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่หยิบยกเอาประเด็นเรื่องเศรษฐกิจและการบริหารจัดการเกี่ยวกับชาวต่างด้าวมาวิพากษ์วิจารณ์โจมตีได้ผลเกินคาด ทั้งๆที่นโยบายด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ประสบผลสำเร็จเหนือกว่าผลงานของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์หลายๆด้าน อาทิเช่น ประธานาธิบดีโจ ไบเดนและรองประธานาธิบดีแฮร์ริส สามารถสร้างานให้แก่คนว่างงานได้ถึง 15.6 ล้านคน แต่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์สร้างงานได้แค่ 12.6 ล้านคน
และในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ปรากฏให้เห็นว่า เขาเพิ่มหนี้สาธารณะกว่า 8.4 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ในทางตรงข้ามสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดนและรองประธานาธิบดีแฮร์ริส หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นแค่เพียง 4.3 ล้านล้านดอลลาร์
อีกทั้งมูลค่าหุ้น S&P 500 ในตลาดหลักทรัพย์สมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดนและรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 42.1% ส่วนในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่มเพียง 33.6%
อนึ่งนโยบายบริหารจัดการเกี่ยวกับชาวต่างด้าวของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ที่ถูกอดีตประธานาธิบดีทรัมป์โยนความผิดกล่าวหาโจมตีว่า เธอเป็นคอมมิวนิสต์ตั้งใจจะรุกรานสหรัฐอเมริกา แถมเขายังประกาศโจมตีอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งว่า เนื่องจากประเทศของบรรดาผู้ที่อพยพมีความจงใจที่จะส่งนักโทษและผู้ป่วยทางด้านจิตให้เข้ามาสู่สหรัฐฯ โดยข้ามพรมแดนทางตอนใต้เข้ามา
สำหรับกรณีนี้ดูเหมือนว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มิได้มีข้อมูลของความเป็นจริงเป็นข้อพิสูจน์ แต่เนื่องจากเขาเป็นนักการตลาดที่มีวาทศิลป์ชั้นเซียน ก็ไม่แปลกที่เขาสามารถทำให้ชาวอเมริกันคล้อยตามได้อย่างไม่ยาก!!!
สำหรับความพยายามของประธานาธิบดีโจ ไบเดนและรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ด้านการปฏิรูปปัญหาคนต่างด้าวนั้น จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมานักการเมืองทั้งของพรรครีพับลิกัน และ พรรคเดโมแครต ได้ร่วมกันร่างกฎหมายปฏิรูปอิมมิเกรชั่นขึ้นมา และเกือบจะได้คลอดออกมาเป็นกฎหมายแล้วก็ตาม แต่กลับปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ นี่แหละที่เข้าไปกดดันให้นักการเมืองของค่ายพรรครีพับลิกันเดียวกันกับตนทำให้ร่างกฎหมายนี้ตกไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเขามีแผนอันแยบยลที่จะนำปัญหานี้มาใช้ชูธงหาเสียง ปรากฏว่าเป็นไปตามความคาดหมายของเขาจริงๆ เพราะชาวอเมริกันถึง 55% หลงคารมเห็นด้วยและคล้อยตาม จนเกิดการแอนตี้ชาวต่างด้าวไปเรียบร้อบแล้ว
ส่วนนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ที่มุ่งช่วยเหลือคนชั้นกลาง อาทิเช่น จะสร้างบ้านใหม่ขึ้นอีกกว่าสามล้านหลัง ช่วยเงินให้แก่ผู้ที่ต้องการจะมีบ้านเป็นหลังแรกจำนวน 25,000 ดอลลาร์ ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการจะเริ่มธุรกิจใหม่รายละ 50,000 ดอลลาร์ และจะลดทอนค่าใช้จ่ายด้านยารักษาโรค แต่กลับถูกโจมตีว่า เป็นนโยบายสังคมนิยม เป็นต้น
อย่างไรก็ตามชาวอเมริกันที่คล้อยตามไปกับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในใจกลางของประเทศที่ยึดอาชีพเกษตรกรรม ส่วนฝ่ายที่ชื่นชมนโยบายของรองประธานาธิบดีแฮร์ริสส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแถบฝั่งตะวันตกตั้งแต่รัฐวอชิงตัน เรื่อยลงมาจนถึง รัฐแคลิฟอร์เนีย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นชาวแคลิฟอร์เนียเทคะแนนให้แก่ รองประธานาธิบดีแฮร์ริส เหนือกว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ 56% ต่อ 39%
ส่วนทางฟากฝั่งตะวันออก รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ก็ได้รับคะแนนนิยมเหนือกว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ แทบทุกๆรัฐ แม้กระทั่งรัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นรัฐที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถือกำเนิดขึ้นมา และยังเป็นรัฐทำมาหากินของเขา โดยขณะนี้ในรัฐนิวยอร์กคะแนนนิยมของรองประธานาธิบดแฮร์ริส กำลังนำเหนือกว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ 56% ต่อ 39%
ขณะนี้ใน 7 รัฐสวิงที่ถือเป็นรัฐชี้ขาดผลการเลือกตั้งนั้น “อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา” ร่วมกับ “อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งมิเชลล์ โอบามา” กำลังเดินทางวิ่งรอกเพื่อช่วยกันหาคะแนนเสียงให้แก่รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ซึ่งดูเหมือนว่าสามารถเรียกคะแนนอิเล็กโทรัลกลับคืนมา จนทำให้ขณะนี้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส กำลังมีคะแนนนำเหนือกว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไปแล้ว 2% (ข้อมูลจากโพลของ Ipsos ที่จัดทำให้แก่“สถานีโทรทัศน์ ABC News”เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2024 นี้)
เป็นที่น่าสังเกตว่าขณะที่มิเชลล์ โอบามา เดินทางไปช่วยหาเสียงที่รัฐมิชิแกน เคียงคู่ไปกับรองประธานาธิบดีแฮร์ริสเมื่อวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคมนี้นั้น อดีตสุภาพสตรีหายเลขหนึ่งได้กล่าวว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้ไร้ความสามารถอย่างร้ายแรง ไร้ศีลธรรม แต่เธอไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด?และทำไม?ที่ชาวอเมริกันมีความลังเลในการที่จะเลือกรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนต่อไป!!!
อีกทั้ง “นายพลสี่ดาวจอห์น เคลลี” ที่เคยดำรงตำแหน่งเสนาธิการให้กับ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มาอย่างนานที่สุด โดยนายพลท่านนี้ได้ออกมาเขียนบทความในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2024 นี้ว่า “อดีตประธานาธิบดีทรัมป์วางตัวเป็นนักเผด็จการ และหากได้รับเลือกเข้าสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งหนึ่ง เขาจะบริหารประเทศแบบเผด็จการอย่างแน่นอน”
อย่างไรก็ตามที่ผ่านๆมาหากเราจะนำเอาผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากสำนักหยั่งเสียงต่างๆมาเป็นบทสรุป ผมมีความคิดเห็นว่า “ไม่มีความแน่นอน” เพราะมีการเปลี่ยนแปลงในแทบทุกๆวินาที ทำนองเดียวกันคะแนนอิเล็กโทรัลในเจ็ดรัฐที่เป็นรัฐชี้ขาด
โดยสองวันก่อนหน้านี้ (เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2024) คะแนนของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์และรองประธานาธิบดีทรัมป์ เคยมีสูสีคู่คี่กัน
แต่หากเราจะยึดเอาโพลของ “หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์”วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2024นี้ มาเป็นตัวชี้วัด ก็ปรากฏให้เห็นว่า หากรองประธานาธิบดีแฮร์ริส สามารถชนะในสี่รัฐ อันได้แก่ รัฐมิชิแกน รัฐเพนซิลเวเนีย รัฐวิสคอนซิน และ รัฐเนวาด้า เอาไว้ได้ เธอก็จะมีคะแนนอิเล็กโทรัลทั้งหมด 276 เสียง
และในทางกลับกันหากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์สามารถชนะรัฐสวิงทั้งเจ็ดรัฐ เขาก็จะได้รับคะแนนอิเล็กโทรัลถึง 312 คะแนน
โดยผู้ใดก็ตามที่ได้รับคะแนนอิเล็กโทรัลเพียง 270 คะแนน ก็จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นไม่ว่าเราจะนำเอาผลของการวิเคราะห์จากที่ใดๆและจากสำนักหยั่งเสียงใดๆก็ตามมาเป็นตัวชี้วัด แต่เหนือสิ่งอื่นใดผู้ที่จะเข้าไปเป็นผู้นำบริหารประเทศควรจะต้องเป็นผู้ที่มีความเป็นผู้นำ มีจิตกุศล มีวิสัยที่กว้างไกล และเหนือสิ่งอื่นใดควรจะมุ่งทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเหนือกว่าประโยชน์ของตน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในโค้งสุดท้ายของการแข่งขันเลือกตั้ง ทั้งหมดทั้งมวลคงจะต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนอเมริกันแล้วว่า จะเลือกใครให้เข้าไปเป็นผู้นำ ที่จะไม่ทำให้น้ำตาของพวกเขาตกเหมือนดั่งนิทานอีสปเรื่อง “กบเลือกนาย”ละครับ