ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“...ความไว้วางใจ...ถือเป็นพลานุภาพอันทรงคุณค่าต่อการรับรู้ในการอยู่ร่วมกันของชีวิตมนุษย์...มันคือสิ่งสำคัญในการสามารถเชื่อมต่อและยึดโยงจิตวิญญาณแห่งกันและกันเอาไว้ได้อย่างเชื่อมั่นและบริสุทธิ์ไม่ว่าจะด้วยสถานะหรือการกระทำใดๆก็ตาม..

ว่ากันว่า...โลก ณ วันนี้กลับเผชิญภาวะวิกฤติแห่งความเสื่อมทรุดของการวางใจ...เรื่องราวแห่งข่าวคราวของความไม่น่าไว้วางใจอันอุจจาดอื้อฉาว..ล้วนอุบัติขึ้นระหว่างและท่ามกลางสังคมของคนหมู่มากอย่างน่าอเน็จอนาถโดยเฉพาะ “บุคคลที่สมควรต้องไว้วางใจได้ของแผ่นดินนานา”

...นักการเมืองผู้ทรงเกียรติภูมิ พระแห่งศรัทธาอันพิสุทธิ์  ทนายผู้เกื้อกูลความยุติธรรม  ครูผู้สอนสั่งองค์ความรู้ที่เป็นคุณ หมอผู้เยียวยาชีวิตแห่งชีวิต สื่อมวลชนผู้ต้องสะท้อนสัจจะสู่สังคม..ตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์..หรือกระบวนการ..แห่ง “อินฟลูเอนเซอร์"ผู้ล้ำสมัยแต่ เคลือบแฝงในเจตนา..”

พวกเขามีกำเนิดในจุดรับรู้เริ่มต้น  ด้วยความเป็นคนดีที่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง

แต่ปรากฏการณ์ที่โหนไปอยู่เหนือความจริง ณ วันนี้..บรรดา “พวกเขาส่วนหนึ่ง” ...ต่างสร้างความเลวร้ายให้แก่ศรัทธาแห่ง “ความวางใจ” จนไม่เหลือค่าความหมายอะไรอีกต่อไป..

ทั้งๆที่หลักการของการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขนั่น.. “ความวางใจ” ..คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องปฏิบัติเป็นวิสัย..และถือเป็นปรากฏการณ์ที่โลกแห่งชีวิต..จะได้ประกาศถึง..พลานุภาพแห่งการดำรงอยู่ และดำเนินไปข้างหน้า..อย่างมั่นคง..และ เป็น..ความสุขแท้จริง..ตลอดไป..!

ประเด็นแห่งความเป็นจริง..ที่แตกพร่าและเต็มไปด้วยวิปริตแห่งความขัดแย้งเบื้องต้น..ส่องทางให้เห็นถึงความจริงแห่งยุคสมัย..ที่เราต้องสมควรเรียนรู้ในคุณค่าของความวางใจให้มากขึ้น..เห็นตัวอย่างแห่งคุณค่าของการปฏิบัติ..ที่ชัดเจนในเบ้าหลอมของเจตจำนงอันสัตย์ซื่อ ในฐานะของมนุษย์คนหนึ่ง..ในฐานะของผู้มีใจที่จักต้องรู้จักแยกแยะถึงความดีงามจริงลวงอันถาวร..มากกว่าจะนำชีวิตให้ตกลงไปในหลุมบ่อแห่งอาจม..ของความ “ไม่ละอายต่อบาป” ..เพราะนั่นคือ “หายนะอันแท้จริง”ของการเกิดมาเป็นชีวิตหนึ่งๆ..ไม่ว่าจะเพ่งมองเข้ามาจากทิศทางของสัมปชัญญะใดก็ตาม...!

“พลานุภาพแห่งความไว้วางใจ” (THE SPEED OF TRUST)..จึ่งคือหนังสือที่สร้างพลังแรงต่อสำนึกแห่งการรับรู้รับฟัง..เพื่อการนำไปจรรโลงชีวิตให้น่าอยู่และมีคุณลักษณะที่น่านับถือ..ด้วยความแม่นตรงในความดีงามนานา..

หนังสืออันทรงคุณค่าเล่มนี้รวบรวมความคิดและตัวอย่างกระทำด้วยวิธีคิดอันทรงคุณประโยชน์ต่อชีวิตโดย.. “สตีเฟน เอ็ม.อาร์. โควีย์” (Steven M.R. Covey)  ที่ได้เขียนร่วมกับ “รีเบคกา อาร์. เมอร์ริลล์” (Rebecca R. Merrill)..โดยพวกเขาวางความเชื่อ...ไว้เป็นหัวใจใหญ่แห่งหนังสือเล่มนี้ว่า.. “ความวางใจคือ..สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง”

..เหตุนี้..ไม่ว่าเราจะเป็นใคร...เราต่างมีโอกาสนับไม่ถ้วนที่จะวางใจ และจุดประกายความวางใจให้แก่ผู้อื่น ..เมื่อเราทำเช่นนั้น เราไม่เพียงจะสร้างผลต่างใหญ่หลวงให้แก่ชีวิตของเขา แต่มันจะเป็นการสร้างผลต่างในชีวิตคนอื่นๆอีกมากหลายที่ได้รับจากผลแห่งการกระทำของเขา.."สตีเฟน"ได้ตอกย้ำความคิดของเขาต่อประเด็นสำคัญนี้ว่า.. “หากความวางใจมีเพียงพอ กฎหมายก็ไร้ความจำเป็น..แต่ในยามที่ดวงใจขาดไร้.. “กฎหมายกลับไม่อาจบังคับให้เกิดผล..”

ดังนั้น..ยิ่งเราวางใจคนอื่นมากแค่ไหน เราก็จะได้รับความวางใจกลับมามากเท่านั้น..เป็นความวางใจในลักษณะที่จับใจ ... “ความวางใจจับใจ ถือเป็นรูปแบบสูงสุดของแรงจูงใจมนุษย์” ใน..นวนิยายคลาสสิกเรื่อง “เหยื่ออธรรม” (Les Miserables)..ของ “วิคเตอร์ อูโก้”..บิชอปคาทอลิก..ไม่ใช่เพียงแค่ยกโทษให้ “ฌอง วาลฌอง” ..แต่ยังยืนยันถึงคุณค่าในตัวเขา และมอบความไว้วางใจให้ จนสามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตอันเคยผิดพลาดของเขา..ไปสู่ชีวิตใหม่อันเรืองรุ่งงดงามได้โดยสิ้นเชิง...

“สตีเฟน” ..ยังนึกถึง “ครูแอนน์ ซึลลิแวน” ครูผู้วางใจและเชื่อมั่นในตัวนักเรียนผู้มองไม่เห็น หูหนวก พูดไม่ได้ที่มีชื่อว่า “เฮเลน เคลเลอร์”..และนึกถึงคนที่สร้างแรงบันดาลใจอื่นๆอีก..อย่างผู้ประกอบการอิสระ “ปีเเอร์ โอมิดยาร์” ผู้ก่อตั้งบริษัท “อิเบย์” บนพื้นฐานของความคิดที่ว่า..คนส่วนใหญ่เป็นคนดี และวางใจได้.. แท้จริงแล้ว..เราเกิดมาพร้อมอุปนิสัยวางใจ..ย้อนกลับไปเมื่อเราเป็นเด็กเล็ก..เราทั้งเขลา ทั้งอ่อนแอไร้เดียงสา โดนหลอกลวงง่าย..เคลื่อนผ่านประสบการณ์ชีวิต เราหลายคนลดความวางใจน้อยลง..แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ..ความเป็นจริงก็คือ.....เราล้วนเลือกได้ที่จะรักษา และฟื้นฟูอุปนิสัยแห่งการวางใจ..โดยความสำคัญตรงส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับ..ความสามารถในการให้อภัย และความสามารถที่จะถ่วงอุปนิสัยวางใจให้สมดุลด้วยการวิเคราะห์..มอบดุลยพินิจให้แก่ชีวิตของทุกคน..ได้เลือกในการวางใจอย่างชาญฉลาด..โดยจะต้องให้ปันผลสูงสุด และ ลดความเสี่ยงต่ำสุด..

“ฟรานเซส แอนน์ เค็มเบิล”..ได้ให้ข้อคิดที่น่าไตร่ตรองตรงนี้ว่า.. “จะดีกว่าถ้าจะวางใจทุกคน และถูกหักหลัง...แทนการระแวงแคลงใจว่า..ถ้าเชื่อ..จะเสกเป่าความเหลือเฟือให้ชีวิต...ด้วยความวางใจแท้จริง” ให้ทดสอบ ..ด้วยการลองนึกถึงประสบการณ์ของเรา..เราจะรู้สึกอย่างไรถ้ามีคนมาบอกกับเราว่า"คุณทำได้..คุณน่าเชื่อถือ..คุณมี..คุณลักษณะและฝีมือพอที่จะทำมันสำเร็จ..ฉันเชื่อในตัวคุณและวางใจคุณ"..

หลายๆครั้ง..เพียงวลีนี้ ก็มีพลังพอที่จะจุดแรงบันดาลใจให้ทำงานได้สำเร็จแล้ว..ความวางใจจะดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของคนแต่ละคนออกมา และ จะเปลี่ยนการติดต่อสัมพันธ์กันโดยไม่เหลือเค้าเดิม..นั่นเป็นเรื่องจริงที่คนบางคนได้ทำลายความวางใจ..แต่คนส่วนใหญ่..คนหมู่มาก จะไม่แตะต้องความวางใจให้หมองหม่น..

“จะดีกว่า ถ้าจะวางใจ และผิดหวังในบางคราว แทนที่จะไม่วางใจใครหรือผู้ใดชั่วนิรันดร์..และเป็นฝ่ายถูกเป็นครั้งคราว” ..ข้อคิดอันชวนคิดของ “นีล เอ.แม็กซ์เวลล์” นักการศึกษาและผู้นำทางศาสนา..ดังกล่าวนี้เเท้จริง..เหมือนเป็นการยืนยันว่า..คนส่วนใหญ่คิดตอบสนองในทางที่ดีต่อ “ความวางใจ” เสมอ..ไม่มีความจำเป็นจะต้องกำกับดูแลหรือควบคุม กระทั่งแม้แต่ต้องจูงใจ..เนื่องเพราะ..ผู้ได้รับการวางใจ หรือได้รับแรงบันดาลใจแล้ว ..จะนำความวางใจนั้นติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง และจะปรารถนาในการทำงานให้สมกับความวางใจ..พร้อมกับอยากจะมอบความวางใจ..คืนกลับไปให้..ดังที่ “วอร์เรน เบนนิส”ผู้ประพันธ์ “On Becoming a Leader” ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า.. “แม้ความวางใจล้นเหลือ ในบางคราวจะข้องเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือการหลอกลวง แต่ก็ถือว่าฉลาดยิ่ง..ในระยะยาว แทนที่จะปักใจเชื่อว่า..คนส่วนใหญ่ไม่จริงใจ หรือไร้ฝีมือ”

เมื่อมาถึงตรงนี้..!..เราอาจจะลังเล หรือชะงักไปชั่วครู่ เมื่อถึงเวลาที่จะวางใจผู้อื่น..ลึกลงไปในใจ เราอาจจะรู้สึกว่า..คนอื่นไม่น่าไว้วางใจ หรือ เชื่อใจไม่ได้..เราต่าง อาจจะถือกำเนิด และเติบโตมา ในสภาพแวดล้อมของการวางใจต่ำ และอาจโดนเผาผลาญหัวใจแห่งความมีและความเป็นมาแล้ว เมื่อในอดีต..รวมทั้งอาจไม่เคยเคยมอบความวางใจแก่เรา ในหนทางที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย..แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด เราสามารถที่จะเรียนรู้.ที่จะวางใจผู้อื่นได้..จึงเป็นการสมควรที่จะมอบความวางใจอย่างชาญฉลาดให้แก่ผู้อื่น..โดยการพัฒนาตัวตน..ให้หลีกห่างจากการตกหลุมพราง...และติดตามผลให้เกิดปันผลสูงสุดสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง.. 

“สตีเฟน” ได้ให้ข้อสรุป..ต่อความตระหนักรู้ในความวางใจ..อย่างหยั่งเห็นถึงข้อประจักษ์..อันควรค่า.. “ผมหวังว่า..คุณคงตระหนักว่า ไม่มีความเร็วใดเหนือกว่า..ความเร็วแห่งการวางใจอีกแล้ว..ไม่มีเรื่องใดที่จะให้ผลกำไรได้มากไปกว่า..ผลของการดำเนินธุรกิจแห่งความวางใจ..เพราะไม่มีสิ่งใดเจืออยู่ในทุกเรื่องทุกเรื่องราวเหมือนความวางใจ และการปันผลจากความวางใจ จะช่วยเพิ่มคุณภาพให้ความสัมพันธ์..ในทุกระดับ..ในชีวิตของคุณ..” มาถึงประเด็นสรุปที่สำคัญที่สุดก็คือว่า..จะเกิดอะไรขึ้นในยามที่คุณวางใจผู้อื่น..?

..การวางใจผู้อื่นนั้น ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งหลักการของการมอบอำนาจ...การกระทำต่างตอบแทน และความเชื่อพื้นฐานที่ว่ามนุษย์มีความดีงาม พอจะรับความวางใจได้..มนุษย์ทุกคนเหมือนว่า อยากได้รับความวางใจ..และพร้อมจะครองตัวด้วยความวางใจที่ได้รับมา..แต่มันอาจส่งผลในทางตรงข้าม ที่เหมือนเป็นการกักเก็บความจงใจไว้..กระทั่งส่งผลถึง..ต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นในทุกงานที่ทำ..โดยเฉพาะในองค์กรแต่ละองค์กร..

..ลองคิดดูว่า..ทำไมเปอร์เซ็นต์ของพนักงานที่วางใจฝ่ายบริหารจึงต่ำนัก..เหตุผลนั้นมีหลายข้อ..เหตุผลหลักก็คือ..ฝ่ายบริหารไม่วางใจพนักงาน ความไม่ไว้วางใจเป็นผลต่างตอบแทน..ฝ่ายบริหารเป็นตัวการก่อความไม่ไว้วางใจให้แก่พนักงาน..วงจรหมุนลงล่าง.. “คนเราไม่วางใจผู้ที่ไม่วางใจเรา”

ในทางตรงข้าม...โรงแรมริทซ์คาร์ลตัน..ฝ่ายบริหารได้มอบอำนาจให้พนักงาน รวมตลอดไปถึงแม่บ้านทำความสะอาด สั่งจ่ายเงินได้สองพันเหรียญ..เพื่อขจัดปัดเป่าปัญหาของแขกผู้มาพัก..หรือ..นอร์ดสตรอม..ก็ตรากฎไว้เพียงข้อเดียวในการให้บริการต่อลูกค้า..คือกฎที่ระบุให้.. “ใช้ดุลยพินิจอันเหมาะสมในทุกสถานการณ์"ซึ่งก็เช่นเดียวกับทรรศนะของ..เซอร์ริชาร์ดแบรนสัน..ผู้ก่อตั้งและประธาน “เดอะ เวอร์จิน กรุ๊ป” ที่ก็ได้เน้นย้ำว่า “บริษัทควรวางใจให้พนักงาน ทำงานที่บ้าน การเดินทางไปกลับ ทำลายเวลาและพลังงานที่ควรนำไปใช้สร้างสรรค์”

นี่คือหนังสือ..ที่ถูกวิพากษ์และชี้แนะว่า..เป็นหนังสือที่คนส่วนใหญ่น่าที่จะต้องได้อ่าน..ไม่ใช่เเค่เพียงผู้นำทางธุรกิจ..มันเหมาะเป็นหนังสือสำหรับทุกคน..ยิ่งในยามที่บ้านเมืองกำลังตกระกำลำบากทางจริยธรรมและคุณธรรมเช่นนี้..หนังสือเล่มนี้สามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้..เมื่อมีการกล่าวถึงการสร้างความวางใจในชีวิตส่วนตัวและโลกธุรกิจ..โดยผู้เขียน “สตีเฟน” ได้บรรยายถึงเรื่องความวางใจอย่างแม่นยำ..โดยเชื่อว่าผู้อ่านทุกคนจะได้รับประโยชน์จากสาระเนื้อหาโดยทันที..!

“สตีเวน เอ็ม. อาร์. โควีย์” ..องค์ปาฐกเลื่องชื่อ..และที่ปรึกษาด้านความวางใจ ภาวะผู้นำ จริยธรรม และผลปฏิบัติงานสูง..ได้ยืนยันในที่สุดว่า.. “ไม่มีอะไรเร็วไปกว่าความเร็วแห่งความวางใจ และ ความวางใจสร้างขึ้นได้ ฟูมฟักขยายให้เจริญเติบโต มอบให้ผู้อื่น และฟื้นฟูมความวางใจ คืนต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย"

“นพดล เวชสวัสดิ์” นักเเปลผู้เลื่องชื่แปลหนังสือเล่มนี้ออกมาอย่างหนักแน่นและเต็มไปด้วยพลังแห่งคุณค่าของการสื่อสารรับรู้..สู่การพัฒนาโครงสร้างของนิยามความหมายแห่งชีวิต..ในโลกและสังคมที่หยาบกร้าน..กระทั่งหาความจริงใจจากใคร..หรือจากหัวใจของสิ่งใด..ไม่ได้เลย..ในยามที่เต็มไปด้วยวิกฤตศรัทธา..เยี่ยงยามนี้...!!!

"สิ่งที่ทำให้ฉันหงุดหงิดที่สุดนั้น ..ไม่ใช่ว่าคุณโกหกฉัน..แต่เป็นเพราะ..ฉันไม่อาจวางใจและเชื่อถือคุณได้อีกต่อไป..!”

(ฟรีดริช นิตซ์เช/Friedrich Niezsche)..