วันที่ 30 ต.ค.67 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนางเปรมจิต กิ่งพิกุล อายุ 80 ปี ว่า ตนเองได้เปิดสถานีบริการน้ำมัน ตั้งอยู่ กม.100 ริมถนนพหลโยธินขาเข้ากรุงเทพฯ จากนั้นได้ขยายกิจการโดยซื้อที่เพื่อขยายกิจการติดกับปั๊มน้ำมันเก่า โดยการซื้อที่นั้นได้ใช้ชื่อของลูกชายนายสิทธิโชค (หนุ่ม) และหลานๆ อีก 3 คน มีนายปรเมศวร์ (หนึ่ง) นายปรพล (นาน) และนางสาวนุ้ย (นามสมมติ) หลานสาวอีกคนซึ่งเป็นลูกของนายหนุ่มเป็นคนซื้อที่โดยตนเองเป็นผู้จ่ายเงินในการซื้อที่ในราคา 65 ล้านบาท เนื่องจากว่าเจ้าของที่ไม่ยอมขายให้ตนเอง จึงได้ให้ลูกชายและหลานๆ เป็นคนซื้อที่ เนื่องจากคิดว่าลูกและหลานๆ ก็ไม่น่าจะโกงตนเอง และเปิดสถานีบริการน้ำมันแห่งใหม่ซึ่งติดอยู่กับที่เดิมโดยใช้ชื่อว่า บริษัท จันทร์ประสิทธิ์ปิโตเลี่ยม กม.100 จำกัด โดยให้หลานๆ เป็นผู้ดูแลควบคุมการเงิน ส่วนตนเองก็อยู่ด้วยช่วยกันดูแล โดยได้กู้เงินจากธนาคารมา 100 กว่าล้านมาขยายกิจการ ซึ่งใช้เวลา 6 ปี จนสามารถส่งเงินที่กู้จากธนาคารมาจนหมด จากนั้นเมื่อตนเห็นว่าหลานๆไม่ค่อยใส่ใจในการบริหารปั๊ม เอาแต่เที่ยวแตร ขับรถแข่ง เอาเงินที่ขายน้ำมันได้ไปใช้จ่ายจนหมดและคิดที่จะยึดครองปั๊มของตนเองโดยจะไม่ยอมให้ตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องเงินไดๆทั้งสิน ตนเองจึงคิดว่าต่อไปก็คงจะเจ๊งหมดแน่ๆ

ซึ่งในระยะ 7-8 ปีที่ผ่านมาเงินหายไปจากระบบหลายสิบล้านบาท โดยการยักยอกเงิน จนน้ำมันไม่มีขาย ของไม่มีขายเป็นหนี้เขาทั่วไปหมด โดยการไปเก็บเงินในร้านกาแฟ และร้านต่างๆ ที่เป็นกิจการของทางปั๊ม ตนเองจึงได้ให้ลูกน้องเอาบัญชีมาดูจึงได้รู้ว่าเงินทุนสำรองภายในปั๊มแทบจะไม่เหลือ พร้อมเอาเงินที่มีการสแกนจ่ายคิวอาร์โค๊ด ไปใช้จ่ายจนหมด บางครั้งเมื่อตนเองไปเก็บเงินตามร้านค้าภายในปั๊มมาก็จะให้ รปภ.เข้าไปแย่งถุงเงินไปตอนนี้ตนเองได้ฟ้องศาลแล้วเพื่อที่จะขออำนาจศาลนำปั๊มกลับคืนมา เนื่องจากว่าที่ผ่านๆมาตนเองไมมีสิทธิ์ในการบริหารปั๊มแต่อย่างได เนื่องจากว่าหลานๆของตนเองได้จ้าง รปภ.มาคอยติดตามตนเองโดยตลอดไม่ว่าตนเองจะเดินไปไหมหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องการเงินไดๆก็ไม่ได้ โดยอ้างว่าที่จ้าง รปภ.เพื่อเข้ามาคุมครองตนเองและคอยดูแลของของเขาภายในปั๊มเนื่องจากกลัวว่าตนเองจะไปทุบทำลายของๆเขา ซึ่งของๆทั้งหมดก็เป็นของตนเองและคอยข่มขู่พนักงานเติมน้ำมันเมื่อลูกค้าเติมน้ำมันแล้วให้นำเงินมาใส่ในกล่องไว้อย่างเดียวโดย รปภ.จะคอยคุมกล่องเงินไว้และนำไปส่งให้กับหลานชายตนเอง ซึ่งตนเองไม่สามารถที่จะยุ่งเกี่ยวไดๆได้เลย ตอนนี้ตนเองอยากจะได้ปั๊มน้ำมันกลับคืนมาบริหารเองจึงได้ไปฟ้องศาลไว้

และในวันนี้ตนเองได้พาทนายความเข้ามาลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.เมืองสระบุรี เพื่อดำเนินคดี เนื่องจากว่าตอนนี้ตนเองถูกคุกคามจากทางหลานๆ อย่างหนักโดยนายปรเมศวร์ (หนึ่ง) และภรรยาบุกรุกเข้าบ้านพักของตนเองในเวลากลางคืนเข้าไปรื้อของภายในสำนักงานเพื่อเอาเอกสารต่างๆภายในสำนักงาน เพราะว่าการขึ้นศาลต้องใช้เอกสารต่างๆ ในการชี้แจงต่อศาล ซึ่งมีการบุกรุกเข้ามาแล้วหลายรอบ และไม่ว่าตนเองจะเดินไปไหนภายในปั๊มก็จะมี รปภ.คอยตามตลอด และกันไม่ให้ตนเข้าไปภายในร้านต่างๆ และนายวรรณพนธ์ (นาน) ที่เข้าไปทำการรื้อค้นเอกสารของตนเองในตู้นิรภัยที่สำหรับเก็บเงินและเอกสารสำคัญพร้อมสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของตนเอง และสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของนายวรรณพนธ์ ที่ตนเองได้มอบหมายให้ไปเปิดบัญชีในชื่อนายวรรณพนธ์ เพื่อจัดการในทรัพย์สินและเป็นตัวแทนของตนเองเกี่ยวกับกิจการร้านค้าภายในปั๊มน้ำมัน ซึ่งมีหน้าที่รับเงินจากลูกค้าที่ชำระสินค้าโดยวิธีสแกน คิวอาร์โค๊ด โดยนายวรรณพนธ์ ได้เอาสมุดบัญชีเงินฝากไปจนหมด

ด้านนายเกรียงศักดิ์ ดีสูงเนิน ทนายความ เผยว่า วันนี้ตนเองได้พานางเปรมจิต เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อหลานชาย นายปรเมศวร์ (หนึ่ง) และภรรยา ซึ่งได้บุกรุกเข้าไปภายในบ้านของนางเปรมจิต ในช่วงเวลากลางคืนโดยเข้าไปค้นหาเอกสาร ซึ่งยังไม่ทราบว่าเอาอะไรไปบ้างโดยมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดและภาพถ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง ส่วนอีกเรื่องเป็นการแจ้งความร้องทุกข์ในเรื่องที่นายวรรณพนธ์ (นาน) หลานชายนางเปรมจิต ได้เข้าไปเปิดตู้เซฟ ของนางเปรมจิต โดยการเข้าไปเอาสมุดบัญชี ในส่วนที่เป็นของนางเปรมจิต จำนวน 4 เล่มและในส่วนที่เป็นของนายวรรณพนธ์ อีก 7 เล่มโดยเป็นบัญชีที่นางเปรมได้ให้นายวรรณพนธ์ไปเปิดไว้เพื่อสร้าง คิวอาร์โค๊ด สำหรับสแกนจ่ายค่าสินค้าภายในปั๊มน้ำมัน ซึ่งนางเปรมจิต ได้มีการร้องห้ามแล้วแต่นายวรรณพนธ์ ไม่ฟังและได้นำสมุดบัญชีออกไป ตนจึงได้พานางเปรมจิต มาร้องทุกข์ดำเนินคดีกับนายปรเมศวร์ (หนึ่ง) นางสาวสุนิสา (ภรรยานายหนึ่ง) และนายวรรณพนธ์ (นาน)