"ธปท." ย้ำคลังเห็นพ้องกรอบเงินเฟ้อ 1-3% ยังเหมาะสมตราบใด ศก.โตได้-ลงทุนขยายตัว

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการหารือเรื่องกรอบนโยบายการเงิน ปี 68 (กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ) ระหว่าง รมว.คลัง และผู้ว่าการ ธปท. เมื่อวานนี้ (29 ต.ค.) ทั้งกระทรวงการคลัง และ ธปท. ต่างมีความเห็นร่วมกันว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% ในปัจจุบันเป็นระดับที่เหมาะสม และมีเป้าหมายร่วมกันที่จะให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามศักยภาพ และมีการลงทุนเพิ่มขึ้น การดำเนินการเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายร่วมกันนั้น หน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)คือ การดูแลภาวะเศรษฐกิจการเงินให้เหมาะสม และเอื้ออำนวยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ โดยการใช้เครื่องมือแบบผสมผสานตามที่ได้ใช้มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ย การดูแลค่าเงินไม่ให้ผันผวนเกินไป มาตรการทางการเงินในการแก้หนี้ ซึ่งเป็น Policy package ที่สร้างสภาวะแวดล้อม และบรรยากาศทางการเงินที่เอื้ออำนวยต่อการให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เต็มศักยภาพ

ขณะเดียวกันทั้งกระทรวงการคลัง และ ธปท.ยังเห็นพ้องกันว่าไม่ต้องการเห็นภาวะเงินฝืด หรือการที่เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งในกรณีอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำที่ไม่พึงประสงค์นั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบัน และยังไม่เห็นแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าเศรษฐกิจจะฟื้นขึ้น ขยายตัวเร็วขึ้น และเงินเฟ้อจะสูงขึ้น อยู่ภายในกรอบ 1-3% ก็เป็นสิ่งที่ควรจะเป็น โดยเป็นธรรมชาติของเศรษฐกิจที่อุปสงค์เพิ่มขึ้น ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ปัจจัยอุปทาน ปัจจัยเชิงโครงสร้าง ไม่ได้หน่วงจนเงินเฟ้อต่ำ ทุกฝ่ายเห็นด้วยกันว่า เงินเฟ้อที่อยู่ในกรอบเป็นสิ่งที่ดี และหากเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น เพราะเศรษฐกิจโตขึ้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะตราบใดที่เงินเฟ้ออยู่ในโซนที่ต่ำ แต่ไม่สร้างปัญหาต่อเศรษฐกิจ กรอบเงินเฟ้อที่ 1-3% ยังเป็นกรอบที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจแบบเรา และเอื้อต่อการที่เศรษฐกิจจะขยายตัว ในเมื่อเงินเฟ้อมาจากปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมค่อนข้างเยอะ ความผันผวนของเงินเฟ้อ 90% มาจากหมวดพลังงาน อาหารสด อยู่นอกเหนือการควบคุม ไม่อยากปรับนโยบายขึ้นๆลงๆ สร้างความผันผวนและซ้ำเติมความไม่แน่นอนให้เศรษฐกิจ

"ในเมื่อกรอบใหญ่ 1-3% เป็นแนวทางต่อไปที่เห็นร่วมกันนั้นจะเป็น 2% หรือ 2.5% หรือ 1.5% ก็ยังอยู่ในกรอบทั้งนั้น ประเด็นที่ถกกันมากกว่าคือ เงินเฟ้อมีไว้เพื่อเอื้อให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดี เศรษฐกิจไปได้เต็มศักยภาพ แน่นอนว่าถ้าเงินเฟ้อสูง 7-8% หรือผันผวนสูง เศรษฐกิจไม่สามารถไปได้ตามศักยภาพ หรือถ้าเกิดภาวะเงินฝืด เงินเฟ้อติดลบอย่างกว้างขวางในระยะยาวนานก็ไม่ส่งเสริมต่อการที่เศรษฐกิจจะโตตามศักยภาพ ไม่ได้มีตัวเลข หรือค่าใดค่าหนึ่งที่เป็น Magic number ในกรอบที่จะเป๊ะๆ แต่โดยเฉลี่ยในระยะปานกลางแล้ว คิดว่าเงินเฟ้อที่อยู่ในกรอบนี้เป็นค่าที่เหมาะสม ตราบใดที่เศรษฐกิจสามารถโตได้ มีการลงทุนที่ขยายตัวได้ หรือหากเงินเฟ้อจะสูงขึ้นหน่อยก็เป็นได้ ถ้าทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้"นายปิติกล่าว

ทั้งนี้กระบวนการกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อร่วมกันของกระทรวงการคลังและ ธปท.นั้นยังคงเดินไปตามกระบวนการปกติที่ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งไปตามปกติที่จะต้องนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ เพื่อกำหนดเป็นเป้าหมายนโยบายการเงินในปี 2568 ต่อไป

ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลัง เสนอให้ ธปท.เพิ่มการดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนมารวมอยู่ในการพิจารณาการดำเนินนโยบายการเงินด้วยนั้น เรื่องค่าเงินไม่ได้เป็นเป้าหมายขั้นสูงสุด แต่เป็นเพียงตัวแปรหรือองค์ประกอบที่สำคัญตัวหนึ่งของภาวะการเงินที่จะนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดในเรื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในกรอบเป้าหมาย ซึ่ง ธปท.ดูแล และ monitor เรื่องค่าเงินอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องความผันผวนที่หากเกินเลยไปจากปัจจัยพื้นฐาน

#ข่าววันนี้ #คลัง #เงินเฟ้อ #ธปท #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์