รวบบัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกต๋องศิษย์ฉ่อย พัวพันยาเสพติดเสียหายกว่า 3.2 ล้าน

วันที่ 30 ตุลาคม 2567 ที่ บก.สส.บช.
น.พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย ,พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก สส.บช.น. ,พ.ต.อ.อรรชวศิษฎ์ ศรีบุญยมานนท์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.ปกรณ์ ทองช่วง และ พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น.  พ.ต.ต.วรุตม์ คำหล้า สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. พร้อมด้วย ชุดปฏิบัติการที่ 3 จับกุม น.ส.ชนกานต์ (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ที่อยู่ ม.6 ต.หนองไฮ อ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 1611/2566 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหรือโดยหลอกหลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบื่อนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”  (บัญชีม้า) โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้าน ม.2 บ้านบุกระสัง ต.บุกระสัง อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์

พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวถึงพฤติการณ์คือ คนร้าย(แก๊งคอลเซ็นเตอร์)หลอกลวงแอบอ้างตนว่าเป็น เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำ สภ.เมืองนครสวรรค์ ต่อมา ทางผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นตำรวจ บอกว่าตนเองพัวพัน ยาเสพติด ฟอกเงิน ตนสงสัยว่าตำรวจจริงหรือไม่ บุคคลดังกล่าวก็ส่งบัตรประจำตัวให้ดู เป็นยศ พันตำรวจเอก แล้วก็ให้เปลี่ยนมาคุยวิดีโอคอล ทางนั้นถามว่า เปิดบัญชีที่จันทบุรีหรือไม่ แล้วบอกว่า 2 สัปดาห์ก่อน จับพ่อค้ายาเสพติด ชื่อหนึ่ง อ้างว่าซื้อบุ๊กแบงก์จากตน 5 หมื่นบาท แล้วผู่เสียหาย ได้เงินเปอร์เซ็นต์จากการลำเลียงยาเสพติด 10 เปอร์เซ็นต์ 8.5 แสนบาท ผู้เสียหายบอกไม่รู้จัก จากนั้นทางผู้ที่แอบอ้างเป็นตำรวจ บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ต้องแสดงความบริสุทธิ์ เช็กเส้นทางการเงินผู้เสียหาย (ต๋องศิษย์ฉ่อย)ขอทำการตรวจสอบเงินในบัญชีธนาคารต่าง ๆ ของผู้เสียหาย หากการตรวจสอบเงินที่ได้มาของผู้เสียหายเสร็จสิ้นเมื่อใด คนร้าย(แก๊งคอลเซ็นเตอร์)จะทำการโอนเงินคืนให้กับผู้เสียหาย  ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเข้าบัญชีปลายทางของคนร้าย(แก๊งคอลเซ็นเตอร์) ธนาคาร แห่งหนึ่ง  ชื่อบัญชีน.ส.ชนกานต์ ธนาคารอีกแห่งหนึ่ง ชื่อบัญชี น.ส.สุดารัตน์ รวม 10 ครั้ง รวมเงินประมาณ 3.2 ล้านบาท จึงมาร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

หลังจับกุมผู้ต้องหาให้การว่า ตนเลื่อน Facebook ไปมาจนกระทั่งมีผู้ใช้ Facebook ซึ่งตัวผู้ต้องหาเองจำชื่อผู้ใช้ดังกล่าวไม่ได้ทักมาว่ามีงานขายของออนไลน์มานำเสนอ ตนสนใจจึงได้ตกลงผู้รับรับสมัครงานจึงเสนอให้ตนเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินจากการทำงานออนไลน์ดังกล่าวและเมื่อผู้ต้องหาได้ทำการเปิดบัญชีธนาคารสำเร็จเรียบร้อยแล้วจะได้ค่าดำเนินการการเปิดบัญชีออนไลน์เป็นเงินจำนวน 400 บาท ตนจึงดำเนินการตามที่ผู้รับรับสมัครงานเสนอ โดยการให้ตนกรอกเบอร์โทรศัพท์มือถือตามที่ผู้รับสมัครงานบอก จากนั้นให้ตนกรอกอีเมลและข้อมูลส่วนตัวของตนลงในแอพพลิเคชั่นอินเตอร์เน็ต Banking ต่อมาในระบบแบงค์กิ้งให้ตนสแกนใบหน้าโดยการหันซ้ายหันขวาเงยหน้าและก้มลงและกระพริบตาพยักหน้าในลำดับต่อมา ส่วนเลข otp ตนไม่ได้ส่งให้แต่ตนคิดว่าเป็นเพราะใช้เบอร์มือถือของผู้รับสมัครจึงไม่ต้องส่งotp เมื่อขั้นตอนการสมัครบัญชีธนาคารออนไลน์เสร็จสิ้น ผู้ให้สมัครบัญชีธนาคารออนไลน์นั้นบอกว่าไม่สามารถดำเนินการได้ และไม่โอนเงินค่าเปิดบัญชีออนไลน์จำนวน 400 บาทนั้นได้แต่ตนกลับต้องโอนเงินเข้าบัญชีที่ตนนั้นสมัครจำนวน 200 บาท เพื่อเป็นค่าดำเนินการการสมัครงานขายของออนไลน์ดังกล่าวและผู้รับยังบอกว่าเมื่อโอนค่าสมัครจำนวน 200 บาทจะได้รับเงินค่าสมัครนั้นคืนในเวลาต่อมา แต่ตนไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวแต่อย่างใด  นอกจากนี้ผู้ต้องหาให้การกับเจ้าหน้าที่ว่าเมื่อตนรู้ว่าตนถูกหลอกจึงทำการอายัดบัญชีกับธนาคารโดยการโทรแต่ตนไม่แน่ใจว่าทางธนาคารจะอายัดให้ตนทุกธนาคารหรือไม่ ต่อมาเมื่อแอพธนาคารต่างๆที่ตนมีไม่สามารถ ทำทุรกรรมทางการเงินได้ทุกแอพตนจึงติดต่อธนาคารเจ้าของแอพที่ตนมี กลับได้รับคำตอบ ว่าให้ตนติดต่อพนักงานสอบสวนสน. วังทองหลาง ตนจึงโทรหาแต่โทรไม่ติด ตนจึงปล่อยเลยตามเลย ตนไม่ทราบเลยถึงข่าวที่ออกไป เพราะตนไม่ได้ดูข่าวสารบ้านเมืองแต่อย่างใดเพียงแต่เปิดการ์ตูน ให้ลูกดูเพียงอย่างเดียว สุดท้ายนี้ผู้ต้องหาได้อยากฝากถึงประชาชนที่คิดกำลังจะเปิดบัญชีม้าว่า “ก็อยากให้เขารู้ว่าว่าแบบอย่าให้รู้ว่าโดนแบบหนูก็แล้วกัน” จึงนำส่ง สน.วังทองหลาง ดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่าตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่สร้างเดือดร้อนให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้ระมัดระวังผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โทรมาบอกว่าท่านเป็นผู้กระทำความผิด แต่งกายเลียนแบบตำรวจวิดีโอคอลผ่านไลน์ หลอกลวงเหยื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน หรือ คดียาเสพติด ส่งเอกสารปลอมต่างๆ เพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อ แล้วแต่งกายคล้ายตำรวจวิดีโอคอลกับเหยื่อเพื่อหลอกว่าจะสอบปากคำ หรือแจ้งข้อกล่าวหา จากนั้นจะให้เหยื่อโอนเงินไปให้มิจฉาชีพตรวจสอบ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ แล้วมิจฉาชีพก็จะหายไปพร้อมกับเงิน ขอย้ำเตือนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จริง จะไม่มีการติดต่อทางไลน์ หรือวิดีโอคอล เพื่อสอบปากคำ หรือ แจ้งข้อกล่าวหา ไม่มีการให้ผู้เสียหายโอนเงิน หรือทรัพย์สิน มาตรวจสอบเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ ไม่มีการส่งเอกสารราชการทางไลน์ เช่น หมายเรียก หมายจับ สุดท้ายหากท่านตกเป็นผู้เสียหายหรือมีข้อสงสัย ให้รีบโทรแจ้ง 1441