อดีตแกนนำพิราบขาว นำหลักฐานแจง “กกต.” กรณีร้องยุบ 6 พรรคเพิ่ม ยัน‘ทักษิณ’ครอบงำ สั่งการ ท้า ‘พท.-ชินวัตร’ สาบานหน้าวัดพระแก้ว พร้อมจี้กกต.เร่งส่งศาลรธน.ยุบ"เพื่อไทย" ปมมติส่ง"ชาญ พวงเพ็ชร์" ลงชิงนายกอบจ.ปทุมธานี

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 28 ต.ค.67 นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบชาว 2006 เปิดเผยว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ กกต.ได้เรียกให้ตนเข้าให้ข้อมูลในคำร้องให้มีการยุบ 6 พรรคการเมือง จากกรณีที่ถูก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าครอบงำ ชี้นำ ซึ่งหลังจากที่ได้ยื่นคำร้องแล้วนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าคำร้องมีมูลปรากฎ โดยในคำร้องของตนปรากฏในวันที่ 14 ส.ค.67 ที่ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งให้พ้นความเป็นรัฐมนตรี ในเย็นวันนั้นมีมติให้ นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ซึ่งปรากฏผ่านสื่อว่านายทักษิณได้เชิญให้ทุกพรรคการเมืองรวมถึงนายชัยเกษมและนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รักษาการเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าไปพบที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งไม่ใช่ที่ทำการของพรรคเพื่อไทย

ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กำลังอยู่ระหว่างไปร่วมศึกษาหลักสูตรมินิ วปอ.ที่ต่างประเทศ เดินทางกลับก่อนปิดหลักสูตร ซึ่งหลายคนในพรรคเพื่อไทยได้กล่าวอ้างว่า มติในที่ประชุมเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีที่บ้านจันทร์ส่องหล้าคือนายชัยเกษมให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งการที่กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และนายชัยเกษมไปปรากฎตัวจะต้องได้รับมติของพรรคก่อน และมีหนังสือมอบอำนาจจากน.ส.แพทองธาร และในเช้าวันที่ 15 ส.ค.67 ก็มีการนัดประชุมที่ตึกชินวัตร 3 ซึ่งไม่ใช่ที่ทำการพรรคเพื่อไทยและเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า นายทักษิณเป็นเจ้าของตึก โดยมีมติเลือกน.ส.แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรี โดยคนที่ปรากฏตัวคนแรกคือนายทักษิณ และให้สัมภาษณ์กับสื่อมาสังเกตการณ์ ก่อนเสนอชื่อน.ส.แพทองธาร

นายนพรุจ กล่าวว่า ความเกี่ยวข้องพ่อลูกก็ดี ความเกี่ยวข้องกับเจ้าของตึกชินวัตรก็ดี ณ วันนี้ ที่ทำการพรรคเพื่อไทยที่ได้จดแจ้งไว้ต่อ กกต. คือ ถนนเพชรบุรี แม้จะมีมติให้ย้ายไปที่ถนนวิภาวดีฯ ก็ยังไม่ได้มีการจดแจ้งเสร็จสรรพ ดังนั้นการดำเนินการของพรรคเพื่อไทยที่ตึกชินวัตร 3 เสมอเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยเป็นลูกน้องอดีตนายกฯทักษิณ เพราะไม่ใช่ที่ทำการพรรคเพื่อไทย แม้แต่วันที่จะแถลงนโยบายของพรรคเพื่อไทยก็ปรากฏกายอดีตนายกฯทักษิณ เพราะทั้งหมดได้ดำเนินการที่ตึกชินวัตร 3 ประเด็นการครอบงำเป็นที่ประจักษ์ คนไทยไม่ได้กินหญ้าแต่คนไทยกินข้าว และนับถือพระแม่โพสพ จะรู้ว่าเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริงคือใคร และผมเองก็เป็นอดีตผู้สมัคร สส. พรรคเพื่อไทย พรรคนี้มีเสน่ห์เรื่องการเงิน ไม่ว่าเจ้าของพรรคจะสั่งให้ดำเนินการอย่างไร ที่ไหน จะต้องดำเนินการตาม แม้แต่วันนี้นายภูมิธรรม เวชยชัย ถูกสงสัยว่าตำแหน่งที่แท้จริงคืออะไร เพราะจุ้นจ้านไปทุกตำแหน่ง รวมถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย

ฉะนั้น วันนี้มันเป็นความปรากฏทั้งสิ้นทั้งมวลว่าอดีตนายกฯทักษิณ เป็นผู้ชี้นำการเมืองพรรคเพื่อไทย เริ่มตั้งแต่ในอดีตว่าทักษิณคิดเพื่อไทยทำ วันนี้ทักษิณชี้นิ้วเพื่อไทยทำ ถ้าไม่จริงไปสาบานกันที่วัดพระแก้วนะครับ ขอให้ส.ส.พรรคเพื่อไทย สมาชิกพรรค รวมถึงตระกูลชินวัตร ออกมายืนยันว่าอดีตนายกฯทักษิณไม่มีอิทธิพลเหนือพรรคเพื่อไทย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงในวันนี้เราจะไม่เห็นน.ส.แพทองธารเป็นหัวหน้าพรรค และเป็นนายกรัฐมนตรี

นายนพรุจ กล่าวว่า ในคำร้องให้ยุบ 6 พรรคการเมืองนั้น ตนมีหลักฐานมายื่น กกต. เริ่มตั้งแต่การปรากฏตัวของนายทักษิณที่ตึกชินวัตร 3 ก่อนมีมติให้ น.ส.แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนออกนโยบายของรัฐบาลต่อมา ซึ่งตึกชินวัตร 3 เป็นที่ทำงานของบริษัทในเครือ หรืออาจจะเชื่อในเรื่องของฮวงจุ้ยหรืออำนวยความสะดวกให้อดีตนายกฯทักษิณ ได้เข้าไปบัญชาการได้ง่ายโดยไม่ต้องแสดงตัว จึงมีข่าวว่ามีการดอดไป หรือหลบสื่อ แต่ปรากฏกายทุกครั้งในเหตุการณ์สำคัญของพรรคเพื่อไทย ซึ่งหลักฐานที่ตนนำมาสอดคล้องกับกลุ่มบุคคลที่เรียกว่าตนเองว่าเป็นกลุ่มนิรนามที่ยื่นคำร้องต่อ กกต. มาก่อนหน้านี้ แต่ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกลุ่มนิรนามมาก่อน ไม่เคยติดต่อหรือรู้จักเป็นการส่วนตัวกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ แต่อาจจะพบเจอกันที่สำนักงาน กกต. กันบ้าง

ผู้สื่อข่าวถามว่า น.ส.แพทองธารระบุว่าการที่ลูกพรรคไปพบเจอกับนายทักษิณ เนื่องจากเป็นอดีตนายกฯที่เคารพไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจการของพรรคการเมืองนั้น นายนพรุจ กล่าวว่า น.ส.แพทองธารไม่เคยเรียนรู้วิชาการปกครองบ้านเมือง ซึ่งในหลักสูตรรัฐศาสตร์สอนให้พูดความจริง ซึ่งตามข้อเท็จจริงการจะไปรับประทานอาหารสามารถไปที่ไหนก็ได้โรงแรมของคุณก็มีหลายแห่ง ซึ่งในวันนั้น น.ส.แพทองธารซึ่งเป็นว่าที่นายกฯ ไม่ได้ปรากฏตัว และนายทักษิณก็มีสถานะต้องห้ามเกี่ยวข้องกับการเมือง หลังจากอยู่ในช่วงหลังการพักโทษ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และในวันดังกล่าวกรรมการบริหารพรรคทั้ง 6 พรรค ยังอยู่ในสถานะรักษาการรัฐมนตรี รักษาการเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งการดำเนินการแบบฉุกละหุกทันด่วน ไม่มีใครเชื่อว่าไปรับประทานอาหาร เป็นตนก็กินไม่ลงเพราะรีบ ถ้าวันนั้นทุกคนไปรับประทานอาหาร ตนถามว่ามีภาพปรากฏหรือไม่ ถ้าน.ส.แพทองธารมองว่าเป็นการไปร่วมรับประทานอาหาร ต้องนำภาพมาแสดงมายืนยันต่อสื่อ ซึ่งทุกคนที่ไปจะต้องแต่งกายเหมือนวันนั้นเวลานั้น

นายนพรุจ ยังได้กล่าวถึงการยื่นเอกสารเพิ่มเติมต่อกกต.กรณีก่อนหน้านี้ยื่นให้ กกต.พิจารณายุบพรรคเพื่อไทย  จากเหตุมีมติส่ง นายชาญ พวงเพ็ชร์ ลงสมัครนายก อบจ.ปทุมธานี ในนามพรรคเพื่อไทย ทั้งที่นายชาญถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพในโครงการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุทกภัยใน จ.ปทุมธานี ปี 54 และต่อมาศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 พิพากษาให้จำคุก 6 ปี 18 เดือน ว่า เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญาทุจริตฯมีคำพิพากษาให้จำคุกนายชาญ ที่สมัครนายก อบจ.ในนามพรรคเพื่อไทย ฐานทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ ซึ่งถือว่ากระทำความผิดเป็นที่ประจักษ์ต่อ กกต.โดยเฉพาะต่อหน้านายทะเบียนพรรคการเมือง จึงต้องการให้นายทะเบียนพรรคการเมือง อาศัยมาตรา 93 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองส่งศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาว่าเข้าข่ายเป็นความผิดยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคด้วยหรือไม่
นายนพรุจ กล่าวย้ำว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 นายชาญยังคงเป็นผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทยเหมือนเดิม แม้ครั้งที่ 2 จะไม่ได้ใช้ชื่อในนามพรรค แต่การแข่งขันก็ยึดถือใบสมัครใบแรก ดังนั้นจะหลีกเลี่ยงประเด็นนี้ไม่ได้ ฉะนั้นหลังจากวันที่ 24 ต.ค. น.ส.แพทองธารให้สัมภาษณ์ว่าเป็นไปตามข้อกฎหมาย ความเป็นจริงแล้วพรรคเพื่อไทยควรต้องแสดงความรับผิดชอบ โดยกล่าวขอโทษคนปทุมธานี เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่าพรรคสำนึกผิดที่ส่งนายชาญลงสมัคร

นายนพรุจ กล่าวว่า น.ส.แพทองธารอาจจะไม่ทราบเรื่องที่พรรคเพื่อไทยมีมติส่งนายชาญลงสมัคร และกกต.ให้ใบเหลืองนายชาญ รวมทั้งสั่งให้มีการดำเนินคดีอาญา นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี เพราะจัดเลี้ยงอุปสมบทลูกชาย และ กกต.ถือว่ามีส่วนทำให้การเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี ครั้งแรกไม่สุจริต เนื่องจาก น.ส.แพทองธาร เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่โดยหลักกฎหมายแล้วหัวหน้าพรรคต้องรับรู้เรื่องทั้งหมด ซึ่งตนเห็นว่าการที่ศาลอาญาคดีทุจริตมีคำพิพากษาจำคุกนายชาญ ในวันที่ 24 ต.ค.และนำเอกสารมายื่นเพิ่มเติมในวันนี้ ก็เท่ากับให้นายทะเบียนพรรคการเมืองรู้ว่าสิ่งที่ตนได้ร้องเรียนมานั้น เป็นความจริงที่ปรากฏชัดเจนแล้ว เหลือเพียงนายทะเบียนพรรคการเมืองนำเรื่องทั้งหมดส่งให้ กกต.มีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป