“ทนายตั้ม” ลั่นยังไม่ฟ้องกลับใคร หลังถูก “เจ๊อ้อย” ฟ้องปมเงิน 71 ล้าน ยันบริสุทธิ์ ได้เงินจากความเสน่หา ชี้ให้รอดูหลักฐาน ไม่หนักใจคดีแต่หนักใจกระแสสังคม พร้อมให้ปากคำตำรวจ ไม่ฝากอะไรถึง “ลุงสนธิ” เหตุพูดไปหมดแล้ว ยอมรับเงิน 71 ล้าน ยังไม่ได้เสียภาษี ซัด “ไฮโซปอ-ตนุภัทร” ไร้สาระ แฉทนายดังหักหลังคดี”แตงโม” ปัดตอบคดี “บอสพอล” จ่อฟ้องรีดเงิน “ดิไอคอน” 7 ล้าน
ที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 28 ต.ค.67 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ พร้อมภรรยา ได้เดินทางมาในคดีหวย 30 ล้านบาท ที่ตัวเองเป็นทนายความให้กับ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ ตามหมายนัดศาลที่นัดไต่สวนมูลฟ้องในคดีหมายเลขดำ อ 1611/2562 หมายเลขแดง ที่ อ 2230/2562 ความผิดต่อเจ้าพนักงานและความผิดเกี่ยวกับเอกสารที่ นายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม หรือแผน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง และคดีที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรีนัดฟังคำพิพากษา คดีที่หมวดจรูญยื่นฟ้อง ครูปรีชา ใคร่ครวญ รวมทั้ง นางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น และนางพัชริดา พรมตา หรือเจ๊พัช แม่ค้าขายลอตเตอรี่ คดีหมายเลขดำที่ อ.2185/2561 คดีหมายเลขแดงที่ อ.3355/2561 ในข้อหาความผิดฐาน "ร่วมกันเบิกความเท็จ" กรณีที่ทั้ง 3 คน เคยเบิกความชั้นไต่สวนฉุกเฉินในคดีแพ่งขออายัดเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 60 หมายเลข 533726 จำนวน 30 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ขอสัมภาษณ์ นายษิทราถึงประเด็นที่เป็นกระแสร้อนอยู่ในขณะนี้กรณีที่ถูก น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย เศรษฐีหมื่นล้าน แจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกงเงิน จำนวน 71 ล้านบาท ซึ่งทนายษิทรา ได้เปรยกับผู้สื่อข่าวว่า "บอกแต่นักข่าวท้องถิ่นเลยนะเนี่ย"
ผู้สื่อข่าวจึงถามกลับว่า แล้วทำไมไม่บอกส่วนกลาง นายษิทรา ตอบว่า "เดี๋ยวส่วนกลางไปกรุงเทพฯ แล้วค่อยให้สัมภาษณ์" เมื่อถามต่อว่า ที่ไหน แถลงข่าวไหม นายษิทรา ตอบว่า "ก็เดี๋ยวนัดหมายไปอีกทีหนึ่ง"
จากนั้น ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นตนไม่ได้หนักใจแต่อย่างใด และขณะนี้อยู่ในช่วงของการรวบรวมพยานหลักฐาน ตอนนี้ให้ทนายความในสำนักงานษิทรา ลอว์เฟิร์ม รวบรวมเอกสารพยานหลักฐานทั้งหมดอยู่ ไม่มีความหนักใจอะไรทั้งนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า สังคมตั้งข้อสงสัยจะมีใครเสน่หากันได้มากมายขนาดนี้ นายษิทรา กล่าวว่า มันอยู่ที่หลักฐานในสำนวน บางคนอาจจะไม่เชื่อ แต่ตนจะบอกให้ว่าสิ่งที่ตนพูด ยืนยันหนักแน่นทั้งหมดเป็นความจริงทุกคำเวลาให้สัมภาษณ์สื่อ เดี๋ยวรอดูดีกว่า รอดูผลของเรื่องนี้ดีกว่าว่าจะเป็นอะไรอย่างไร
"เหมือนกับที่มารอดูผลของคดีหวย 30 ล้าน ในวันนี้ ที่อยู่กันมา 6-7 ปี ตั้งแต่วันแรกที่ลุงจรูญถูกดำเนินคดีจนพิสูจน์ความจริงเรียบร้อยเสร็จแล้วผมฟ้องกลับ ฟ้องกลับทั้งฟ้องเท็จ ทั้งแจ้งความเท็จ ทั้งเบิกความเท็จ ทุกคดีบางเรื่องมันต้องใช้เวลาผมเข้าใจ จริงๆ ผมไม่อยากให้สัมภาษณ์ บอกตรงๆ เพราะว่าพูดไปมันก็เท่านั้น ยังไงคนก็ไม่เชื่ออยู่ดี"
เมื่อถามว่า ยังยืนยันว่าเงินจำนวน 71 ล้านบาท ที่ได้มาเป็นเงินจากความเสน่หาหรือไม่ นายษิทรา ตอบว่า "อย่างที่ผมให้สัมภาษณ์ทุกอย่าง ออกรายการผมไม่กล้าไปโกหกผ่านสื่ออยู่แล้ว และผมเป็นทนายความ ผมทำอะไรทุกอย่างผมมีหลักฐาน"
เมื่อถามต่อว่า เสน่หาแบบใดที่เจ้าของเงินแจ้งความในข้อหาฉ้อโกง นายษิทรา ตอบว่า "อันนี้ผมไม่ทราบ ก็ต้องไปพิสูจน์กันว่าสิ่งที่เขามาดำเนินคดีผมเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เดี๋ยวเค้าคงไปให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผมบอกก่อนเลยว่าผมไม่รีบไปให้การ เพราะผมกลัวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเวลาทำงานน้อย ถ้าผมไปมอบตัวเร็ว เดี๋ยวคดีมันจะได้แค่ 4 ผัด แค่นั้น โดยผมจะรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกถึงจะไป"
เมื่อถามอีกว่า จะแจ้งความกลับเจ้าของเงินหรือไม่นั้น นายษิทรา ตอบว่า "ตอนนี้ยังจะไม่ดำเนินคดีกับผู้ใดทั้งสิ้น แต่อนาคตก็แล้วแต่ ก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ความบริสุทธิ์ตัวเอง" ต่อข้อถามที่ว่า แล้วจะมีการติดต่อเจรจากับเจ้าของเงินหรือไม่ นายษิทรา ตอบว่า "ผมไม่มีการติดต่อไป บอกตรงนี้เลย ผมไม่เคยติดต่อไปทั้งทางคนใกล้ตัวเขา ทางเลขาฯ เขา หรือตัวของพี่อ้อยเอง ผมไม่มีการติดต่อไป ณ เวลานี้"
เมื่อถามต่อว่า อยากฝากอะไรถึงคุณอ้อยบ้าง นายษิทรา กล่าวว่า ต้องบอกอย่างนี้ว่าตัวตนถูกโฉลกกับคนที่ถูกรางวัลใหญ่ๆ อย่างที่ตนเป็นทนายให้กับหมวดจรูญในคดีหวย 30 ล้าน ทำให้ตนมีชื่อเสียง อย่างพี่อ้อยก็ถูกรางวัลใหญ่ที่ต่างประเทศ ก็ให้เงินให้ทองตน ตนก็ถูกโฉลกกับคนแบบนี้แหละ เอาง่ายๆ ฟ้าลิขิตไว้แล้ว
เมื่อถามถึงกรณีเงิน 71 ล้านบาท เสียภาษีอย่างไร นายษิทรา ตอบว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องภาษีเพราะเป็นทนายความ ขณะนี้ตนโดนตรวจสอบภาษีอยู่ เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบอยู่ ตอนที่เงินเข้ามาตนได้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ตรวจสอบแล้ว ส่วนการเสียภาษีอยู่ระหว่างประเมิน ซึ่งโดยปกติจะเสียภาษีประมาณ 5% จากรายได้
"แต่ปัจจุบันยังไม่ได้เสียภาษี เนื่องจากกำลังประเมินอยู่ แต่เป็นจำนวนเงินเท่าไรผมไม่ทราบ เพราะผมโดนตรวจสอบอยู่ เขาก็จะคิดไปทีเดียวเลยว่าทั้งหมดมีเท่าไหร่อะไรยังไง แต่ทุกอย่างมีการแจ้งเจ้าหน้าที่ไปหมดแล้ว"
นายษิทรา กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นตนหนักใจกระแสสังคมอย่างเดียว พูดไปตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเชื่อ แต่ตนโดนเรื่องนี้หลายรอบแล้ว ช่วงที่ทำคดีหวย 30 ล้าน ปี 61-62 ตอนนั้นก็มีคนมากล่าวหาตนต่างๆ นานา หรือตอนที่ตนทำเรื่องโครงการจัดซื้อไบโอเมตริกซ์ กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ตนก็โดนหมายจับ หรือตอน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตนก็กลายเป็นทนายสีเทา ทุกอย่างตนก็ผ่านมาทั้งหมดแล้ว เรื่องพวกนี้ตนเลยไม่ได้มีความหนักใจอะไรมาก
กรณีที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ ระบุเงินจำนวนดังกล่าวนำไปซื้อบ้านหลังละ 46 ล้านบาท โดยใส่ชื่อภรรยาของทนายตั้ม ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายษิทรา กล่าวว่า มันก็เป็นสิทธิของตนว่าตนจะไปจัดการอะไรยังไง เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรถึงนายสนธิหรือไม่ ทนายษิทรา กล่าวว่า ไม่ฝากอะไรถึงพี่สนธิดีกว่า แต่ตามที่ลั่นวาจาเอาไว้แล้วกัน เมื่อถามต่อว่า ที่นายสนธิพูดว่าความจริงมีหนึ่งเดียว ที่จะทำให้คนชั่วฉิบหายได้ นายษิทรา กล่าวว่า ก็รอดูต่อไปแล้วกัน ตนถึงบอกไงว่าเรื่องนี้ต้องดูกันไปยาวๆ
ส่วนกรณีที่ไฮโซปอ-ตนุภัทร ออกมาแฉทนายดังหักหลังคดีแตงโม แนะแนวทางสู้ในทางที่ผิด ซ้ำเรียกเงินจำนวนมาก นายษิทรา ตอบว่า "ไร้สาระทั้งนั้น ไอ้พวกนี้ถือโอกาสตอนที่ผมกำลังทัวร์ลง"
ส่วนเรื่องที่ นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ผู้ต้องหาคดีดิไอคอน กรุ๊ป อ้างว่า 1 ในทนายดรีมทีมรีดเงิน 7 ล้าน นายษิทรา ปฏิเสธที่จะตอบในเรื่องนี้
วันเดียวกัน ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร และอดีตผู้สมัคร สส.พรรคพลังประชารัฐ เดินทางยื่นเรื่องต่อ นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. ร้องขอตรวจสอบ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน กรณีเงิน 71 ล้านบาท เพื่อแจ้งเบาะแสและให้พิจารณาวินิจฉัย ยึด อายัด เงินจำนวนดังกล่าว มาก่อนเพื่อพิสูจน์ที่มาของเงิน และความถูกต้องตามกระบวนการกฎหมาย หรือไม่อย่างไร โดยมี นายพีรธร วิมลโลหการ ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการทรัพย์สิน รองโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. เป็นผูัแทนรับเรื่อง
นายสนธิญา กล่าวว่า กรณีทนายตั้ม ถ้าเป็นทนายธรรมดาตนก็คงไม่ติดใจอะไร แต่เนื่องจาก ทนายตั้ม เป็นถึงเลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนและยังเป็นนักการเมือง ในฐานะเป็นว่าที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) สำรองอันดับที่ 4 ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญกำหนดชัดว่า ไม่สามารถถอนตัวได้ยกเว้นกรณีเสียชีวิต ตามวาระ 4-5 ปี จึงทำให้บทบาทหน้าที่ของทนายตั้มนั้นต้องโปร่งใส หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา ย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือหรือกระทบต่อจริยธรรม
ทั้งนี้ จึงนำเรื่อง ทนายตั้ม ถูกกล่าวหาพาดพิงเกี่ยวกับเงินจำนวน 71 ล้านบาท มาแจ้งเบาะแสให้ ปปง. เป็นผู้ตรวจสอบใน 3 ประเด็น คือ 1. เงินจำนวนดังกล่าวนั้นไม่ว่าทนายตั้มจะได้มาด้วยเสน่หาหรือวิธีการใดก็ตาม อยากให้ตรวจสอบว่าเงินจำนวนดังกล่าวนั้นมีที่มาถูกต้องตามกระบวนการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ 2. เงินจำนวนนั้น ทนายตั้มได้ชำระภาษีถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และ 3. พบว่า ภรรยาของทนายตั้ม นำเงินจำนวน 40 ล้านบาท จากก้อนนี้ไปซื้อบ้าน เข้าข่ายลักษณะการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินอันเป็นการฟอกเงินหรือไม่
นายสนธิญา กล่าวว่า โดยหลักฐานนำมาจะข้อมูลจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่มีการเปิดโปงเรื่องดังกล่าว รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ทนายตั้มยอมรับผ่านรายการโทรทัศน์ว่าเงินดังกล่าวนั้นมีอยู่จริง แต่อย่างไรก็ตาม ตนไม่ก้าวล่วงในเรื่องของคดีความว่าเงินดังกล่าวนั้นทนายตั้มได้มาด้วยวิธีการใด เพราะถือเป็นเรื่องของกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งตนมายื่นให้ตรวจสอบก็ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งและทนายตั้มยังคงอยู่ภายใต้มาตรา 107 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการเลือกตั้งวุฒิสภา รวมทั้งทนายตั้มได้ทำงานเป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะต้องถูกตรวจสอบได้
“ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ปปง. ว่า เรื่องดังกล่าวมีอำนาจในการตรวจสอบหรือไม่ ยืนยันทนายตั้มยังไม่ใช่ผู้ต้องหา ไม่ได้บอกว่าทำผิดหรือไม่ผิด รวมทั้งไม่ใช่เป็นการดิสเครดิตทางการเมืองและไม่เคยรู้จักทนายตั้มเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด เพียงแค่ว่าสิ่งไหนไม่ชัดเจน ก็แค่ยื่นเรื่องเพื่อตรวจสอบให้ประจักษ์ชัดว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นอกจากนี้ เตรียมจะยื่นเรื่องดังกล่าวให้ประธานวุฒิสภาตรวจสอบด้วยภายในสัปดาห์หน้า ส่วนกรณี 7 ล้านบาท กับผู้ต้องหา บริษัท ดิไอคอน ผมไม่ได้ยุ่ง”