จังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับ อำเภอสตึก เทศบาลตำบลสตึก และ ททท. เตรียมจัดงานประเพณีแข่งขันเรือยาวชิง 3 ถ้วยพระราชทานฯ ชิงจ้าวยุทธจักรแห่งลำน้ำมูล ทั้ง เรือใหญ่ ไม้ ก. 55 ฝีพาย และเรือกลาง ไม้ ข. 40 ฝีพาย ส่วนเรือท้องถิ่น (โลหะ) มีที่เดียวของประเทศไทย ชมขบวนเทิดพระเกียรติ ขบวนอัญเชิญถ้วยพระราชทาน ขบวนแห่ของคุ้มบ้านวิถีชุมชน พร้อมชวนเลือกซื้อสินค้า ผลิตภัณฑ์ชุมชน คาดมีเงินสะพัดตลอดการจัดงานไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท
วันที่ 28 ต.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า นายวีรวิชญ์ พีรยศพัฒน์ นายกเทศมนตรีตำบลสตึก อ.สตึก จังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า จังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับอำเภอสตึก เทศบาลตำบลสตึก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอสตึก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และภาคเอกชน จัดงานประเพณีแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว , สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ประจำปี 2567 ในวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2567 ณ ลำน้ำมูล สวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา หน้าที่ว่าการอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
ทั้งนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา และเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป ทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว และเป็นสื่อในการที่จะเชื้อเชิญให้แขกต่างถิ่นได้เข้ามาเยี่ยมเยียนอีกทางหนึ่ง ทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจโดยรวมจะดีขึ้น และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศและแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของจังหวัดบุรีรัมย์
สำหรับปีนี้ ทางคณะกรรมการจัดงานแข่งขันเรือยาวประเพณี ประจำปี 2567 แบ่งประเภทเรือเข้าแข่งขัน ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ ประเภทเรือไม้ ก. เรือไม้ขนาดใหญ่ (ไม่เกิน 55 ฝีพาย) มีเรือดังชนิดแชมป์ชนแชมป์มาร่วมแข่งขัน จำนวน 6 ลำ ได้แก่ เรือเจ้าแม่ประดู่ทอง จาก จ.ชลบุรี, เรือชาละวัน สิงห์ลีโอ จาก จ.พิจิตร, เรือเพชรดำกาฬสินธุ์นาวา จาก จ.กาฬสินธุ์, เรือกระทิงแดงเพชรนาวา จาก จ.เพชรบุรี, เรือศรีสตึก จาก จ.บุรีรัมย์ และเรือเทพหัสดินทร์ จาก จ.พิษณุโลก ชิงถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมเงินรางวัล ประเภท เรือไม้ ข. เรือไม้ขนาดกลาง (ไม่เกิน 40 ฝีพาย) มีเรือดังจากหลายจังหวัดทั่วประเทศ มาร่วมแข่งขัน จำนวน 8 ลำ ได้แก่ เรือเจ้าแม่ประดู่เงิน จาก จ.ชลบุรี, เรือสิงห์ปทุม จาก จ.ปทุมธานี, เรือสาวเมืองเพชรมาม่า จาก จ.เพชรบุรี, เรือเจ้าแม่ธรรมเนียม จาก จ.ร้อยเอ็ด, เรือเทพเนรมิต จาก จ.สุรินทร์, เรือหงส์ฟ้ามหาราช จาก จ.ศรีสะเกษ, เรือเทพศักดิ์สิทธิ์ จาก จ.สุรินทร์ และเรือคำปลิวละอองลม จาก จ.อุบลราชธานี ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล
ส่วนประเภทเรือโลหะ (เรือท้องถิ่น ไม่เกิน 36 ฝีพาย ) มีเรือจากชาวบ้าน ชุมชนในเขต อ.สตึก และ อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ มาร่วมแข่งขัน จำนวน 13 ลำ ซึ่งมีแห่งเดียวในประเทศไทย ที่มีการจัดแข่งประเภทเรือโลหะ (เรือท้องถิ่น) ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พร้อมเงินรางวัล
โดยวันที่ 31 ต.ค.มีพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อวังกรูด วันที่ 2 พ.ย.จะมีขบวนเทิดพระเกียรติ ขบวนอัญเชิญถ้วยพระราชทานฯ และขบวนแห่ของคุ้มบ้านวิถีชุมชน ซึ่งบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของชาวจังหวัดบุรีรัมย์ที่มาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ร่วมกัน ในปีนี้ไม่มีการแข่งขันช้างว่ายน้ำ นอกจากจะได้ชมการประชันฝีพายของบรรดาเรือยาวแต่ละลำที่สนุกสนานตื่นเต้นแล้ว ยังมีการออกร้านจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์จากทุกท้องถิ่น ของกินของดีเมืองสตึก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเที่ยวชมงาน ได้จับจ่ายซื้อหาไปเป็นของฝากและของที่ระลึก
สำหรับการแข่งขันเรือยาวประเพณี ชิงถ้วยพระราชทานฯ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวบ้านในแถบบริเวณแม่น้ำมูล อำเภอสตึก เป็นเมืองวัฒนธรรมแห่งสายน้ำ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2480 ด้วยเดิมชาวอำเภอสตึก อาศัยอยู่ริม 2 ฝั่งแม่น้ำมูล ซึ่งมีเรือเป็นพาหนะสัญจรและเป็นการคมนาคมที่สำคัญที่สุดในด้านการทำการเกษตรกรรม ธุรกิจการค้า รวมถึงการดำเนินชีวิตประจำวัน จึงมีความผูกพันกับสายน้ำแห่งชีวิตนี้หลังฤดูการทำนาชาวบ้านจะนำเรือมาแข่งขันกันเพื่อสร้างความรักความสามัคคีเรื่อยมาจนปัจจุบัน
ดังนั้น นายวีรวิชญ์ กล่าวต่อว่า จึงขอเชิญชวนให้ประชาชน และนักท่องเที่ยว มาร่วมชมงานและสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีแข่งขันเรือยาว ของอำเภอสตึก เมืองวัฒนธรรมแห่งสายน้ำ ให้อยู่คู่ จ.บุรีรัมย์ อีกทั้งการจัดงานประเพณีดังกล่าว ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดในอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมงานจำนวนมาก ทำให้มีเงินสะพัดตลอดการจัดงานไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท