วันที่ 26 ต.ค.67 เมื่อเวลา 09.40 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีคดีตากใบที่หมดอายุความไปแล้วเมื่อวันที่ 25 ต.ค. ว่า ท่าทีที่ฝ่ายรัฐมีความพยายามจะจบคดีนี้ตั้งแต่แรก ใช้เวลา 4-5 ปีในการศึกษา ติดตามแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ และการพูดความจริงไม่หมดก็จะเป็นปัญหาได้ ไม่ว่าใครก็ตาม ซึ่งตนได้กล่าวหาใคร ดังนั้นที่บอกว่ารัฐไม่ได้ใส่ใจ ยืนยันว่าเรามีกระบวนการยุติธรรมที่ได้ดำเนินการอยู่ตลอด ซึ่งตลอดเวลาที่ศาลได้ตัดสินช่วง 5 ปีแรก จนถึงตอนนี้เกือบ15 ปี ไม่เคยมีการหยิบยกไม่ว่า ผ่านรัฐมนตรี ผ่านนายกฯ มาหลายสมัยก็ต้องเข้าใจด้วย ดังนั้นการที่พุ่งเป้ามาให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในสมัยนี้รับผิดชอบ ซึ่งตอนเกิดเหตุการณ์นางสาวแพทองธาร อายุแค่ 10 ขวบเองก็อยากให้เข้าใจตรงนี้

นายภูมิธรรม กล่าวว่า แต่ในบทบาทของความเป็นรัฐ นางสาวแพทองธาร ได้สั่งการให้ดำเนินการอย่างเต็มที่มาตลอด แต่ก็เป็นปกติธรรมดาที่มีคดีที่เราทำได้สำเร็จ จับผู้ร้ายได้หรือจับไม่ได้ก็มี ไม่มีใครปราถนาให้เป็นประเด็น หรือจุดที่จะทำให้เป็นปัญหาในอนาคต ดังนั้นสิ่งที่ดำเนินการไปแล้วเมื่อถึงเวลา ยังไม่สามารถทำได้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ใช่ผู้มีความผิด ยังเป็นการกล่าวหา นายกฯ ก็ได้แสดงความเสียใจกับเรื่องที่ไม่สามารถทำให้ได้ตามวัตถุประสงค์และไม่สามารถทำเรื่องการออกกฤษฏีกาให้ตามที่หลายฝ่ายเสนอ ถ้าเรายึดถือกระบวนการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราพยายามทำเต็มที่แล้ว แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ นายกฯ ก็ได้ขอโทษว่า ไม่สามารถทำให้ลุล่วง ซึ่งนายกฯ ให้ถือเรื่องนี้เป็นบทเรียนและศึกษาดูว่ากระบวนการยุติธรรมที่จะทำให้มันดีกว่านี้คืออะไร  

"จริงๆถ้าคดีต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อน กระบวนการที่จะดำเนินการต่างๆ จะดีกว่านี้ ไม่ใช่เพิ่งมาเรียกร้องเอาช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วงที่คดีกำลังถึงที่สุดที่โดยธรรมชาติไม่มีใครจะยอมขึ้นศาลหรอก อันนี้ไม่ได้หมายความว่าผมไปเชียร์เขา แต่ชี้ให้เห็นว่า มันเกิดความยากลำบากในการติดตาม ผมคิดว่าความรุนแรงในภาคใต้ก็ยังคงมีอยู่ ตราบใดที่เรายังทำงานไม่บรรลุผล ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีตากใบว่า พอผลของคดีตากใบเป็นแบบนี้ จะทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นต่อเนื่องตลอด " นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า นายกฯ มีแผนจะลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกับนายกฯ เลย แต่ตนจะลงพื้นที่แน่ เพราะรับผิดชอบดูแลศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ในพื้นที่ แต่ว่าช่วงนี้ยังมีเรื่องอื่นให้ดำเนินการอยู่

เมื่อถามต่อว่า มีความกังวลหรือไม่ ว่าจะมีการขยายการแสดงเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ นายภูมิธรรม กล่าว ว่า เราให้ทุกหน่วยงานเฝ้าระวังดูแลเรื่องความมั่นคงของประเทศ ส่วนถามว่ากังวลหรือไม่นั้น เราคาดการณ์ยาก เราไม่เรื่องที่จะไปคาดการณ์ในเชิงร้ายที่สุด แต่เรื่องของการป้องกัน เราดูแลอยู่ตลอด เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ยิ่งการแสดงเชิงสัญลักษณ์ก็อยากให้แต่ละฝ่าย โดยเฉพาะในสภาที่มีการพูดว่ามีคนตาย 700 กว่าคน ที่จริงมัน 70 กว่าคน แต่ถ้าจะเอาคนตายรวม 700 คน ก็ต้องรวมทหารด้วย ซึ่งไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้นตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ดีจะพูดอย่างไรก็ได้

"แต่ถ้าพูดกันตรงไปตรงมา ก็ต้องถือว่าจบแล้ว ส่วนจะนำบทเรียนไปหาทางแก้ไขคลี่คลายอย่างไร รวมถึงกรณีที่มี สส. เรียกร้องเรื่องการดูแลเยียวยาเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องไปคิด แต่ไม่ใช่เรื่องเงิน เพราะเรื่องเงินมันจบไปแล้ว การมาพูดเรื่องเงินอีกมันต่อความยาวสาวความยืดไม่มีข้อยุติ เหนือสิ่งอื่นใด อย่าให้ประเด็นเหล่านี้ถูกนำมาเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นความมั่นคงของรัฐไทย ก็ต้องคำนึงถึงรัฐไทย ไม่ใช่รัฐบาลไทย เพราะถ้าจะพูดกันจริงๆ รัฐบาลไทยก็มีมาหลายชุดแล้ว แต่มันไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมา จึงขอร้องว่าอย่าใช้ประเด็นนี้มาเคลื่อนไหวทางการเมือง" นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า กรณีคนร้ายบุกยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจในมัสยิดที่กำลังละหมาด ที่จ.ปัตตานี เมื่อคืนวันที่ 25 ต.ค. มาจากผลการที่คดีตากใบหมดอายุหรือไม่ว่า นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ใช่เอฟเฟกต์หรืออะไรหรอก เพราะเกิดขึ้นตลอด ไม่ใช่ครั้งแรก ฉะนั้นอย่าไปโยง เพราะจะทำให้เรื่องต่างๆ ไม่จบ อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ ส่วนรัฐจะไปดูว่าจะทำอย่างที่จะช่วยบรรเทาเบาบางไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอีก