ผู้ร้อง โต้ ภรรยาบิ๊กตำรวจ พูดไม่เป็นความจริง พร้อมสู้ หากฟ้องมา พร้อมฟ้องกลับ
วันนี้ (25 ต.ค.) ผู้ร้องกรณีถูกภรรยาบิ๊กตำรวจลักทรัพย์ค่าสินสอด เปิดเผยถึงกรณีความสัมพันธ์ของสามีตัวเองและคู่กรณีว่า เป็นเรื่องจริงทุกอย่าง ยืนยันว่ามีคลิปจริง แต่ไม่สามารถเปิดคลิปได้ เพราะถ้าเปิดคลิปคู่กรณีจะฟ้องตัวเองอย่างแน่นอน
โดยความสัมพันธ์เธอมีความระแคะระคายมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากตัวเองแอบดูแชทการสนทนาระหว่างทั้ง 2 คน จนนำไปสู่การติดตั้งกล้องแอบถ่ายไว้ จนกระทั้งเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ทั้งคู่ได้นัดเจอกันที่บ้านย่านคลอง 7 และมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกัน และจากนั้นวันที่ 6 มิถุนายน คู่กรณีได้ขอมาเจอกับตัวเองอีกครั้งโดยอ้างว่าจะเอาของที่คอนโด แต่เมื่อถามไปอีกครั้งก็ยอมรับว่าอยากจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ แต่สามีไม่เล่นด้วย แต่คู่กรณีไม่ยอมจบ และโทรมาหาสามีเมื่อวันที่ 16 สิงหา ซึ่งตัวเองเป็นคนรับสายจึงได้มีการเคลียร์กันเรื่องความสัมพันธ์ ซึ่งคู่กรณีปฎิเสธว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กันอย่างว่า / ซึ่งสาเหตุที่ตัวเองยังอนุญาติให้สามีติดต่อกับคู่กรณีอยู่นั้น เพราะเห็นใจ และเห็นว่าช่วงนั้นสามีของคู่กรณีกำลังมีปัญหาอยู่
ส่วนในฝั่งของสามีคู่กรณี ส่วนตัวได้พยายามติดต่อไปทั้งทางจดหมายที่ส่งไปที่หน้าหมู่บ้านและทาง sms โดยเนื้อหาที่ส่งไปเป็นการเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกับทวงทรัพย์และทองคำคืน
สำหรับคลิปความสัมพันธ์ตัวเองเก็บไว้ในที่ปลอดภัย ไม่ได้มีการส่งให้ใคร รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย และตัวเองยังไม่ได้มีการฟ้องชู้ ซึ่งในคลิปดังกล่าวยังมีปรากฏในช่วงที่คู่กรณีขโมยคีย์การ์ดออกไปจากตู้โชว์ที่อยู่มีห้องนั่งเล่น ซึ่งส่วนนี้จะนำไปให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสำหรับความสัมพันธ์ของตัวเองและคู่กรณี ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพิ่งมารู้จักก็ตอนที่เริ่มระแคะระคายในเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับสามีของตัวเอง
ส่วนประเด็นทองคำ 120 บาท และเงินสด ที่หายไปนั้น ยืนยันว่ามีจริง และตัวเองได้เก็บรวมกันไว้ในกระเป๋าสีดำ ซึ่งอยู่ในลิ้นชักภายในห้องนอน พร้อมกับปืนอีก 3 กระบอก ซึ่งปืนไม่หาย แต่ทรัพย์สินดังกล่าวหายไป แต่กลับมีกระเป๋าของคู่กรณีที่ภายในมี กระดาษขายทอง กรมธรรม์ ที่ปรากฎชื่อของคู่กรณีอยู่ภายในกระเป๋าซึ่งวางอยู่ด้านในห้อง / ซึ่งเรื่องที่คู่กรณีขโมยสินสอดตัวเองไปนั้น ส่วนตัวไม่ได้มองว่าคู่กรณีไม่มีเงินแต่มองว่าเป็นการล้มงานแต่ง
ในส่วนของการเช่าคอนโดที่คู่กรณีอ้างว่า สามีของตัวเองได้มีการขอความช่วยเหลือให้คู่กรณีเช่าคอนโดเดือนละ 10,000 บาท ส่วนตัวเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้ พร้อมยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และหากเป็นความจริงอยากให้คู่กรณีเปิดเผยสัญญาการเช่าห้อง หลักฐานการโอนเงิน หรือหากจ่ายเป็นเงินสดก็ต้องมีหลักฐาน พร้อมยืนยันว่าส่วนตัวไม่ได้มีความเดือดร้อนจนถึงขั้นที่ต้องไปยืมเงินคู่กรณี เพราะตัวเองก็มีทรัพย์สินมากพอ
ส่วนกระเป๋าสีรุ้งที่คู่กรณีอ้างว่ามีกระเป๋าแบรนด์เนมอยู่นั้น ยืนยันว่าเจอภายในห้องดังกล่าวจริง แต่ในตอนแรกไม่ได้เปิดดูแต่เมื่อทราบถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองแล้วจึงตัดสินใจเปิดดูและเห็นว่าเป็นของอย่างอื่นตามที่ได้เป็นข่าวไปแล้ว และไม่เจอกระเป๋าแบรนด์เนม ซึ่งส่วนนี้ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปหมดแล้ว
ส่วนประเด็นที่อาจจะมีการสอบความประพฤติที่ไม่เหมาะสมกับสามีนั้น ส่วนตัวได้มีการคุยกับสามีแล้ว ซึ่งสามีบอกว่ายอมรับเพราะเรื่องดำเนินการมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยอมรับกับที่กำลังเกิดขึ้น เพราะแต่ตัวเองออกมาเปิดหน้าขนาดนี้แล้วก็ได้รับผลกระทบมากเหมือนกัน เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการฟ้องชู้ กลัวหรือไม่ว่าสามีของคู่กรณีจะฟ้องชู้กลับ ผู้ร้องเผยว่า เรื่องดังกล่าวขอไปปรึกษาสามีก่อน
ส่วนเรื่องคดีการฉ่อโกง ตอนนี้ศาลยกฟ้องไปแล้ว 2 คดี ยังอยู่ในระหว่างพิจารณา 2 คดี และไกล่เกลี่ยไปแล้ว 1 คดี ซึ่งรวมทั้งหมด 5 คดี ส่วนคดีของนางศิริพร เป็นการทำเฟรนไซส์โดนัทร่วมกัน ของตัวเองกับนางศิริพร ซึ่งเป็นคุณครูอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ซึ่งตัวเองนับถือนางศิริพรเป็นแม่เหมือนพี่สาว เพราะตัวเองเคยไปอาศัยอยู่ที่บ้านนางศิริพรคอยดูแลพ่อแม่เค้า และพาไปเปิดหูเปิดตา ซึ่งนางศิริพรเมื่อก่อนอยู่กับสามีแก่คนหนึ่ง และในภายหลังได้มีพฤติกรรมหญิงชอบหญิงและตัวเองก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเค้าได้ จู่ๆนางศิริพร ได้ล้มกระดานธุรกิจที่มีร่วมกัน ทำให้ตัวเองหมดเนื้อหมดตัว ติดหนี้ติดสิน และติดคุกด้วย ซึ่งส่วนนนี้ตัวเองมองว่าถูกลกั่นแกล้งจึงได้แจ้งความกลับ ส่วนรถ BMW ที่มีประเด็นกัน ได้มีการตกลงซื้อร่วมกันเพื่อจะใช้ร่วมกันในธุรกิจ ส่วนตัวเป็นคนผ่อน แต่เป็นชื่อของนางศิริพร โดยส่วนตัวมีหลักฐาน ในการสเตทเม้นท์ในการโอนเงินทุกอย่าง
ส่วนประเด็นเรื่องการเป็นอาจารย์พิเศษ ตนเองจบเรื่องการบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการการตลาด จึงเป็นอาจารย์สอนพิเศษ ให้ความรู้นักเรียนในร้อยตำรวจ ว่าหากรายได้จากอาชีพไม่พอ จะต้องมีลู่ทางในการหาเงินขายของแบบใดได้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการแชร์จากประสบการณ์ตัวเอง ที่มีธุรกิจการขายร้านโดนัท และมีความเชี่ยวชาญเรื่องกระบวนการสอบสวน ซึ่งตอนนั้นตัวเองก็ กำลังเรียนระดับ ป.โท อยู่ ส่วนเรื่องที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ มีการระบุ โพสต์ ตำแหน่ง ดอกเตอร์นำหน้า นั้น ตัวเองไปทำบุญบริจาคโดนัท และบอกแค่ว่ากำลังเรียนในระดับปริญญาเอก ซึ่งยังเรียนไม่จบการศึกษา แต่ในส่วนของศาลจังหวัดทองผาภูมิน่าจะมีการเขียนให้เอง
สำหรับภาพการสวมชุดข้าราชการตำรวจ ผู้ร้อง ชี้แจงว่า เป็นงานแฟร์เวลไนท์ ของมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ให้แต่งกายอาชีพในฝัน ซึ่งผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า ถ้าไม่ได้อยากเป็นตำรวจ ทำไมถึงเลือกที่จะสวมชุดตำรวจไปงานเลี้ยงพร้อมเครื่องแบบเต็มยศ นางสาวธณัฏฐา ระบุว่า ตนเองไม่เคยฝันอยากเป็นตำรวจเลย เพราะมีสามีเป็นตำรวจอยู่แล้ว จะอยากเป็นตำรวจอีกทำไม แต่ตอนนั้นตนเองไม่ได้เตรียมชุดอะไร และตอนนั้นก็มีน้องที่เป็นตำรวจจริงอีกคน ให้หยิบยืมชุดใส่ ซึ่งในภาพจะเห็นป้ายชื่อปักที่หน้าอก เป็นชื่อจริงนามสกุลจริง ของตนเอง เพราะข้างมหาวิทยาลัยมีร้านทำป้ายชื่อ เลยทำให้สมจริง
ส่วนประเด็นเรื่องการฟ้องร้อง หลังจากนึ้ก็จะมีการปรึกษากับทางสามีอีกครั้งว่าจะมีการฟ้องร้องในประเด็นไหนเพิ่มเติม ซึ่งแม้ว่าจะมีกระแสข่าวว่า ในส่วนของภรรยาอดีตบิ๊กตำรวจ น่าจะมีการฟ้องร้องกับตัวเองนั้น ส่วนตัวไม่สนใจ และพร้อมที่จะเปิดหน้าสู้ ส่วนความผิดพลาดของสามี พร้อมที่จะให้อภัยให้สามี ซึ่งคาดว่าน่าจะยังคงมีการแต่งงานต่อไป สุดท้ายอยากจะฝากไปถึงคู่กรณีว่า ให้เอาของมาคืน การที่เป็นชู้ กับสามีคนอื่น ก็ควรที่จะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ควรมีศีลธรรมมากกว่า เพราะการกระทำของตัวเองจะทำให้ตัวเขาชีวิตตกต่ำ