คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
เวลาของการแข่งขันการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯยังคงมีเหลือแค่เพียงสิบวันเท่านั้นโดยขณะนี้การหาเสียงของทั้งสองฝ่ายกำลังมีความดุเดือดเข้มข้นแบบสุดๆ สืบเนื่องมาจากคะแนนนิยมระหว่าง “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” และ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” กำลังสูสีคู่คี่กันมาก!!!
โดยเฉพาะใน 7 รัฐสวิง ที่ถือเป็นรัฐชี้ขาด เพราะเป็นคะแนน “อิเล็กโทรัลโหวต” Electoral Vote ที่มิใช่คะแนนเสียงจากประชาชนทั่วทั้งประเทศ หรือที่เรียกกันว่า “ป๊อปปูลาร์โหวต” Popular Vote
รัฐสวิงทั้งเจ็ดรัฐนี้ได้แก่ รัฐเพนซิลเวเนีย รัฐมิชิแกน รัฐวิสคอนซิน ที่มักจะเรียกกันว่า “Rust Belt “ ที่ตั้งอยู่ในแถบตอนเหนือของสหรัฐฯ และเคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมต่างๆ และอยู่ใกล้กับทะเลสาบใหญ่และแม่น้ำ ซึ่งทำให้ธุรกิจต่างๆสามารถเข้าถึงวัตถุดิบ แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้อุตสาหกรรมต่างๆกำลังถดถอย
ทั้งสามรัฐนี้เคยเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครตที่มีคะแนนอิเล็กโทรัลรวมกันถึง 44 คะแนน คือรัฐมิชิแกน (15 คะแนน) วิสคอนซิน (มี 10 คะแนน) และรัฐเพนซิลเวเนีย (มี 19 คะแนน)
อนึ่งรองประธานาธิบดีแฮร์ริสพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะรักษาทั้งสามรัฐนี้เอาไว้เช่นเดียวกับที่“ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” เคยชนะอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มาแล้วเมื่อการเลือกตั้งในปีค.ศ. 2020
โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2024 รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ออกตระเวนหาเสียงที่รัฐวิสคอนซิน ถึงสามแห่งด้วยกัน ส่วนรัฐมิชิแกนนั้นเธอใช้เวลาหาเสียงมากถึง 10 ครั้ง เพราะอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้ไปหาเสียงที่รัฐนี้หลายครั้งแล้ว
หากว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ สามารถพิชิตชัยเอาชนะได้ที่รัฐมิชิแกน โอกาสที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริสจะได้รับเลือกเข้าสู่ทำเนียบขาวก็ค่อนข้างจะลำบาก โดยเฉพาะขณะนี้เธอกำลังเผชิญกับปัญหาอันแสนหนักหน่วง สืบเนื่องมาจากเรื่องของชุมชนชาวอาหรับ ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่มากที่สุดในสหรัฐฯ ออกมาประกาศว่าจะไม่สนับสนุนเธอ ที่ถึงแม้ว่าชุมชนนี้จะเคยสนับสนุนประธานาธิบดีโจ ไบเดน มาแล้วเมื่อสี่ปีก่อนหน้านี้!!!
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากปัญหาสงครามที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างอิสราเอล กับ ฮามาส ที่มีชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บหลายหมื่นคน
เป็นที่น่าสังเกตอีกเช่นกันว่า ในปีนี้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เดินทางไปหาเสียงที่รัฐมิชิแกนแล้วถึง 12 ครั้งด้วยกัน แต่เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ปรากฏว่า “อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา” และศรีภรรยา “มิเชล โอบามา” ก็ไปช่วยหาเสียงให้รองประธานาธิบดีแฮร์ริสในรัฐมิชิแกนนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นรัฐที่มีคะแนนอิเล็กโทรัลมากที่สุดในกลุ่มบรรดารัฐสวิง และหากว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริส เกิดพ่ายแพ้ต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในรัฐนี้ ก็ยิ่งยากที่เธอจะได้เข้าไปสู่ทำเนียบขาวด้วยเช่นกัน
ส่วนอีกสี่รัฐที่เรียกกันว่า “Sun Belt” ที่อยู่ในเขตร้อนทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา อันได้แก่ เนวาดา (6 คะแนน) นอร์ทแคโรไลนา (16 คะแนน) จอร์เจีย (16 คะแนน)
และแอริโซนา (11 คะแนน) ที่เมื่อรวมคะแนนอิเล็กโทรัลแล้วจะมีถึง 49 คะแนน โดยที่ผ่านมาประธานาธิบดีโจ ไบเดนเคยได้รับชัยชนะในการแข่งขันเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ. 2020 มาแล้วสามรัฐ ยกเว้นแต่ที่ รัฐนอร์ทแคโรไลนา เท่านั้น
และถึงแม้ว่าเมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา และ “อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน” จะออกเดินทางไปช่วยกันหาเสียงให้กับรองประธานาธิบดีแฮร์ริสที่รัฐจอร์เจียแล้วก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าคะแนนของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กลับกำลังนำค่อนข้างสูงทั้งใน รัฐจอร์เจีย, รัฐนอร์ทแคโรไลนา, และรัฐแอริโซนา มีแค่เพียงรัฐเนวาดาเท่านั้นที่แฮร์ริส กำลังนำอยู่อย่างไม่มากเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตามหากว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริสสามารถเอาชนะในรัฐสวิงทั้งเจ็ดรัฐนี้ได้ เธอก็จะได้รับคะแนนอิเล็กโทรัลถึง 393 คะแนน (คะแนนอิเล็กโทรัลเพียง 270 คะแนนเป็นคะแนนที่ตัดสินชี้ขาด)
และในทางกลับกันหากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์สามารถเอาชนะทั้งเจ็ดรัฐสวิง เขาก็จะได้รับคะแนนอิเล็กโทรัล 312 คะแนน และจะได้เข้าสู่ทำเนียบขาวอย่างแน่นอน
และยังเป็นที่น่าสังเกตอีกด้วยว่า “เนท ซิลเวอร์” กูรูนักสถิติที่ได้รับความเชื่อถือในการประเมินผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯได้อย่างแม่นยำ โดยเขาได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมว่า โอกาสที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะได้รับเลือกสู่ทำเนียบขาวอยู่ที่ 50.2% ส่วนโอกาสที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริสจะได้รับชัยชนะมีอยู่ที่ 49.5% ซึ่งจะเห็นว่าสูสีกันอย่างมาก (ข้อมูลจากนิตยสาร Newsweek: Nate Silver says There’s ‘Real Movement’ Toward Trump in Polling Data)
แต่ “ศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์ ดร.อลัน ลิชท์แมน” แห่ง “มหาวิทยาลัยวอชิงตัน” ที่เคยทำนายผลการเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯได้อย่างถูกต้องถึง 9 ใน 10 ครั้งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ยังคงยืนกรานว่า รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จะได้รับชัยชนะและจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลจากนิตยสาร The Atlantic เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2024: Allan Litchman Is Sure That Harris Will win)
และปรากฎอีกด้วยว่ารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จากข่าวซีเอ็นเอ็นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ได้เปิดเผยว่า ยังได้รับแรงสนับสนุนจากแกนนำของพรรครีพับลิกัน 741 คน โดยแกนนำของพรรครีพับลิกันเหล่านั้นได้ลงชื่อร่วมกันประณามว่า “อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นบุคคลที่อันตรายที่สุดของสหรัฐอเมริกา” แม้กระทั่งบอร์ดของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในสหรัฐฯก็ยังเขียนลงในบทบรรณาธิการติดต่อกันถึงสองครั้งสองคราว่า “อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่มีความเหมาะสมในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ”
แต่ในทางกลับกันหาก อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ สามารถหลุดพ้นจากวิบากกรรมเรื่องอื้อฉาวที่เขาเผชิญมาตลอดทั้งชีวิต ก็ไม่แน่ว่าตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สองอาจจะตกเป็นของเขาได้เช่นเดียวกัน
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นมีเวลาอีกแค่เพียง 10 วันข้างหน้าเท่านั้นที่ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” และ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” จะทุ่มอย่างสุดตัวออกหาเสียงในรัฐสวิงทั้งเจ็ด โดยขณะนี้จะเห็นได้ว่า การแข่งขันกำลังมีความดุเดือดเข้มข้นที่ทั้งสองฝ่ายต่างสาดโคลนวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกันอย่างหนักหน่วงและดูเหมือนว่าขณะนี้ยังไม่มีความเด่นชัดว่าใครจะเป็นผู้วิน วินเข้าสู่เส้นชัย ที่แม้ว่าจะยังเหลืออีกไม่ไกล แต่ก็แสนวิบากและยังมองไม่เห็นว่าใครจะนำหน้าได้รับชัย เพราะสูสีคู่คี่แบบได้ยินเสียงลมหายใจรดต้นคอกันละครับ