'ชูศักดิ์' ย้ำเพื่อไทยค้านนิรโทษม.112 ไฟเขียวส.ส.พรรคร่วมฯ โหวตรายงานผลศึกษา “อนุทิน”ยัน”ภท.”ลั่นไม่เอานิรโทษโยงม.112 ด้าน'สงคราม' จวกยับคนบางกลุ่มจ้องล้มรัฐบาล พฤติการณ์ฉุดรั้งประเทศ ขณะที่ “ศาลฯ”พิพากษาจำคุก 6 ปี 18 เดือน “ชาญ พวงเพ็ชร์” กับพวกรวม 7 คน คดีทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพช่วยอุทกภัย

รัฐสภา เมื่อวันที่ 24 ต.ค.67 นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมสส.พรรค ถึงการลงมติวาระพิจารณาการลงมติโหวตจะรับข้อสังเกตรายงานของ กมธ. ว่า รายงานนี้ไม่ใช่การพิจารณากฎหมาย ไม่ใช่การพิจารณาว่าจะมีหรือไม่มีมาตรา 112 รายงานนี้เป็นเพียงผลการศึกษาว่าหากต้องทำกฎหมายนิรโทษกรรมต้องทำอย่างไร ตนพยายามอธิบายมาหลายครั้งและนายนพดล ปัทมะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พูดชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม มาตรา 112 และจากการฟังในที่ประชุมทั้งหลายก็มีแนวโน้มไปในทิศทางนั้น

ทั้งนี้ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ถามในที่ประชุมส.ส. สมาชิกเห็นว่า ร่างรายงานนี้ที่เป็นรายงานที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย และได้มีการประชุมกมธ.มา 19 ครั้ง ซึ่งกมธ.ไม่มีใครคัดค้าน ฉะนั้นในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยจึงมีความเห็นว่าเราจะรับทราบรายงาน รวมถึงเห็นชอบกับข้อสังเกต ส่วนพรรคอื่นจะไม่เห็นชอบก็แล้วแต่แต่ละพรรค ซึ่งพรรคเพื่อไทยควรเห็นชอบเพราะเป็นรายงานของพรรคเพื่อไทยที่เสนอ ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลการโหวตเป็นเอกสิทธิ์ การที่พรรคร่วมรัฐบาลจะมีความเห็นอย่างไร ต่อไป


นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงมติที่ประชุมพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา เกี่ยวผลการลงมติรายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่จะมีการลงมติในการประชุมสภาฯ ในช่วงบ่ายวันนี้(24ต.ค.)ว่า ที่ประชุมพรรคภูมิใจไทยมีมติออกมาสอดคล้องกับแนวทางและเจตนารมณ์ของพรรค ที่ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมมาตรา 112 กับรายงานฉบับนี้ และพรรคภูมิใจไทยจะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนมากที่สุด

ด้าน นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เข้าบริหารประเทศ แก้ไขปัญหาประชาชน ประกอบกับการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนและผู้ประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่จากทั่วโลก สนใจมาลงทุนในไทยสูงขึ้น ทั้งนี้นักลงทุนมองว่าภายใต้รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยมากขึ้น

นายสงคราม กล่าวว่า จากการรายงานของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ พบว่า ในช่วง 9 เดือน ของปี 2567 มีการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน 2,195 โครงการ เงินลงทุนกว่า 7.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% นำโดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ทั้งเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน ยอดส่งเสริมลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) สิงคโปร์อันดับหนึ่ง ตามด้วยจีนและฮ่องกง ผลของการดึงลงทุนเชิงรุก ท่ามกลางกระแสย้ายฐานผลิตโลก หนุนตัวเลขลงทุนปี 2567 พุ่งสูงสุดรอบ 10 ปี ในขณะเดียวกันมีการคาดการว่าจะมีการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 1.7 แสนคน จะใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศประมาณ 8 แสนล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี

"ที่เป็นห่วงคือมีคนบางกลุ่มเหมือนกำลังต้องการทำลายบรรยากาศการลงทุน ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการสร้างเรื่องราว ยื่นศาลเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ผ่านมามีการยื่นร้องหวังโค่นล้มรัฐบาลรายวัน อาศัยทุกช่องทางเพื่อสกัดกั้นการทำงานขอวรัฐบาล เหมือนไม่ต้องการเห็นประเทศไทยเดินไปข้างหน้า รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาประเทศเพื่อให้ประชาชนกลับมากินดีอยู่ดี แต่คนบาวกลุ่มรับงานล้มรัฐบาลหวังเพียงให้คนที่ตัวเองสนับสนุนได้มีโอกาสเข้ามามีอำนาจทางลัด โดยไม่มองว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำนั้นฉุดรั้งการเติบโตของประเทศ"นายสงคราม กล่าว

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 17 ก.ย.67 ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบภาค 1 นัดอ่านคำพิพากษาคดี ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายชาญ พวงเพ็ชร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี กับพวกรวม 7 คนเป็นจำเลย ในคดีหมายเลขดำที่ อท5/67 ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบรามการทุจริต พ.ศ.2561 กรณีทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพในโครงการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุทกภัยใน จ.ปทุมธานี จำนวน 2 ครั้ง เมื่อปี 2554 มูลค่าหลักล้านบาท แต่ได้ถูกเลื่อนเรื่อยมา

ล่าสุด วันเดียวกันนี้  ศาลอ่านคำพิพากษาจำคุก นายชาญ พวงเพ็ชร กับพวก 2 กระทง กระทงละ 5 ปี รวม 10 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษหนึ่งในสาม เหลือกระทงละ 3 ปี 9 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 18 เดือน