จากกระแสภาพยนตร์ไทยตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2567 ถือเป็นช่วงขาขึ้นเนื่องจากมีผู้ชมยอมจ่ายค่าตั๋วเข้าโรงภาพยนตร์มากกว่าหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลิวูดบางเรื่อง ซึ่งถือเป็นเรื่องดีและเป็นผลพวงทำให้ทางกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ได้ปรึกษาหารือกับทางกระทรวงวัฒนธรรมในการผลักดันให้กองถ่ายภาพยนตร์ไทยได้อินเซ็นทีฟคืนเงินในรูปแบบเดียวกันที่ให้กองถ่ายภาพยนตร์จากต่างประเทศที่เข้ามาถ่ายหนังในไทย โดยอาจจะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมในเรื่องของการยกกองไปถ่ายทำในเมืองน่าเที่ยว ซึ่งประกอบด้วย 55 จังหวัดเมืองรอง และเที่ยววันธรรมดา เป็นต้น
โดย นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงเรื่องดังกล่าว ว่า ได้เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายหนังต่างชาติในประเทศไทย โดยจะเพิ่มมาตรการอินเซ็นทีฟ คืนเงินสูงสุด 30% จากเดิมสามารถขอคืนเงินสูงสุด 20% และไม่จำกัดวงเงินสูงสุดในการคืนเงิน เพื่อสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย รวมถึงได้พูดคุยกับกระทรวงวัฒนธรรมที่รับผิดชอบเกี่ยวกับกองถ่ายทำภาพยนตร์ของไทยในการได้มาตรการอินเซ็นทีฟรูปแบบเดียวกับของต่างประเทศ
ทั้งนี้ นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวถึงมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์กองถ่ายหนังต่างประเทศในไทย ว่า มีการปรับรายละเอียดการคืนเงินแบบขั้นบันได การปรับมาตรการอินเซ็นทีฟ คืนเงินแบบขั้นบันได ดึงต่างชาติถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย โดยถ้ามีการลงทุนเกิน 50 ล้านบาท ได้คืน 15% ลงทุน 100 ล้านบาท คืน 20% ลงทุน 150 ล้านบาท คืน 25% รวมถึงพิจารณาจากเงื่อนไขอื่นๆ ซึ่งมีการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์เช่นกัน อาทิ การจ้างงานคนไทย 5% จากเดิม 3% การจ้างโพสต์โปรดักชั่นในประเทศ 3% จากเดิม 2% โดยเมื่อรวมกับสิทธิประโยชน์เหล่านี้แล้วอัตราการคืนเงินต้องไม่เกิน 30%
นอกจากนี้ยังปรับปรุงเงื่อนไขการขอสิทธิประโยชน์จากเดิมจะต้องถ่ายทำในโลเคชั่นของประเทศไทยไม่น้อยกว่า 50% ลดลงเป็นไม่น้อยกว่า 20% อีกหลักเกณฑ์ใหม่ที่จะนำมาพิจารณาด้วยคือ หากไปถ่ายทำในเมืองน่าเที่ยว ที่ประกอบด้วย55 จังหวัดเมืองรอง และเที่ยววันธรรมดา จะได้รับอัตราการสนับสนุนจากรัฐบาลมากกว่าการเดินทางไปเมืองหลัก และเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์
อย่างไรก็ตามนายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกองถ่ายหนังไทยนั้นได้ส่งรายละเอียดมาตรการอินเซ็นทีฟต่างประเทศไปยังกระทรวงวัฒนธรรมที่มีบทบาทควบคุมและกำกับกับหนังในประเทศ ซึ่งในเวลานี้ได้รับทราบข้อมูลในเบื้องต้นแล้ว และคาดว่าน่าจะมีการหารือเพิ่มเติมอีกในลำดับต่อไป เพื่อหาบทสรุปของการให้อินเซ็นทีฟภาพยนตร์ไทย ในครั้งนี้